ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ตังสิน กบฎผู้ไร้เดียงสา

บทที่ 21
ตังสิน กบฎผู้ไร้เดียงสา
อุทาหรณ์ผู้นำทำการใหญ่แต่ใ
จไม่ถึง
 
ในสมัยที่โจโฉเป็นนายกฯในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้
เกิดกบฎ 2 ครั้งที่มาจากขุนนางในราชสำนัก
และไม่ใช่กบฎธรรมดา หากแต่เป็นกบฎล้มรัฐบาลที่ฮ่องเต้ให้การสนับสนุน
โดยเฉพาะกรณีกบฎตังสิน

ตังสินคือพี่ของสนมเอกตังกุยหุย มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพรถศึก
และเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักฮั่น
วันหนึ่งเขาได้รับพระบรมราชโองการโลหิตของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ที่ระบายความทุกข์อันเกิดจากหมิ่นพระเกียรติของนายกรัฐมนตรีของพระองค์





ตังสินในฐานะขุนนางผู้ภักดีจึงสนองพระบรมราชโองการ
ด้วยการรวมขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน
ซึ่งหนึ่งในคณะปฎิวัติมีสมเด็จพระเจ้าอาเล่าปี่
ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง
เกียดเป๋ง แพทย์ประจำตัวนายกโจโฉ

ทว่าความผิดพลาดของคณะรัฐปฎิวัติไร้เดียงสานี้คือ
การให้ทุกคนลงนามเป็นลายอักษรว่าจะปฎิวัติร่วมกัน
ม้าเท้ง ต้องกลับไปประจำหัวเมือง
เล่าปี่ ต้องออกไปปราบกบฎอ้วนสุด
ก่อนเล่าปี่จะเคลื่อนทัพก็ได้กำชับตังสินว่า
ทำการใหญ่ต้องใจเย็น อย่ารีบ
สถานการณ์พร้อมเมื่อไหร่ค่อยดำเนินการ

นับจากวันนั้นตังสินก็เป็นกังวล
แต่เรื่องปฎิวัติจะกินนอนก็ไม่เป็นสุข
จนวันหนึ่งหมอเกียดเป๋งแพทย์ประจำตัวนายกฯ
มาเยี่ยมตังสิน ช่วงที่ตังสินนอนกลางวัน
และละเมออกมาว่ากำจัดโจโฉได้แล้ว
จึงสะดุ้งตื่นก็เห็นเกียดเป๋ง

แพทย์ประจำตัวนายกฯจึงรู้ว่
ตังสินเป็นไข้ใจและอาสาจะลอบสังหารนายกฯด้วยการวางยาพิ
ทว่าข่าวเรื่องนี้กลับรั่ว
โจโฉจึงกุมตัวเหล่าขุนนางที่ร่วมก่อการ
ยิ่งได้ลายชื่อเหล่าขุนนางที่ร่วมลงนาม
ก็ยิ่งเป็นหลักฐานมัดตัว นำไปสู่การประหารล้างโคตร
รวมไปถึงนางตังกุยหุยด้วย

คุณผู้อ่านครับ
เวลาจะปฎิวัติไม่จำเป็นต้องลงนามร่วมกันก็ได้
แต่เพราะตังสินเขาเป็นผู้นำเฉพาะกิจ
ไม่ได้เป็นผู้นำมืออาชีพ
ทำให้มีความกลัวในทุกเรื่อง
การลงนามร่วมกันหากมองให้ดีคือ
ตังสินไม่ไว้ใจใครในกลุ่ม
กลัวจะมีการทรยศหักหลัง

แต่ลืมคิดอีกมุมหนึ่งถ้าถูกกุมตัว
โจโฉก็กวาดฆ่าล้างโคตรจนหมดสิ้น
ไม่เหลือผู้สืบทอดอุดมการณ์ต่อ

ถ้าจะทำการใหญ่ขนาดนี้ยังไม่กล้าไว้วางใจกัน
ถึงขนาดต้องมาลงนามร่วมกัน
เช่นนั้นแล้วอย่าทำจะดีกว่า
ของแบบนี้ต้องอาศัยความเชื่อใจ ไว้ใจและวางใจกัน

ไม่วางใจยังไม่พอ
ตังสินก็ยังเล่นละครไม่เก่ง
เหมือนเล่าปี่ที่ทำทุกอย่างแนบเนียนจนโจโฉเชื่อใจ
จนสามารถคุมกองทัพหลายหมื่นในการปราบอ้วนสุด

ที่สำคัญตังสินดันนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เมียน้อยฟัง
ด้วยความไว้ใจ ไม่คิดว่าเมียน้อยจะมีกิ๊กเป็นบ่าวในบ้าน
ความลับเหล่านี้จึงรั่ว

เหตุหายนะทั้งหมดจึงมาจากตังสิน
นักปฎิวัติผู้ไร้เดียงสา

สำหรับนักบริหารแล้วความเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องสำคัญ
ต่อให้คุณเป็นผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership)
แบบตังสินหรือพวกสถานการณ์พาไปให้ต้องเป็นผู้นำ
สิ่งสำคัญคือคุณต้องดำรงความเป็นมืออาชีพเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

เนื่องจากผู้นำประเภทนี้ไม่มีตำแหน่ง เหมือนผู้จัดการ ผู้อำนวยการ ฯลฯ
แต่เป็นผู้นำที่ได้รับการมอบหมาย ให้ต้องนำทีม
การสร้างความน่าเชื่อถือ
หรือการสร้างการยอมรับจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะสมาชิกในทีมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ร่วมงานที่มีตำแหน่งเท่ากัน
ทำให้คุณไม่สามารถสั่งใครได
จะทำได้ก็คือการขอความร่วมมือจากทีม
และหากเขาไม่ร่วมมือคุณเองก็ทำอะไรไม่ได้

ฉะนั้นผู้นำแบบนี้จะต้องมีภาวะผู้นำที่สูงมาก
เพราะต้องสามารถสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนรวมพลังกันเป็นที
ในการที่จะนำพาทีมไปสู่เป้าหมาย

เวลาทำงานจริง ห้ามสั่งอย่างเดียว
ต้องทำให้ทุกคนเห็น
เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อในสิ่งที่สั่ง
แต่เขาจะเชื่อเมื่อคุณทำให้ดู

ธรรมชาติของมนุษย์มักจะบอกในสิ่งที่ตนไม่เคยทำว่ายากหรือเป็นไปไม่ได้
ทว่าสำหรับผู้นำคือผู้รวมพลังของทีมในการพิชิตอุปสรรค
คุณต้องทำในสิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" ให้ " ป็นไปได้"
ฉะนั้นงานที่ยาก ในทีมบอกทำไม่ได้
คุณต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็นเพื่อให้เขาเชื่อว่ามันทำได้

ความไว้วางใจก็เป็นสิ่งสำคั
ที่ไม่ควรมองข้ามเพราะหากผู้นำไม่ไว้ใจหรือเชื่อมันในศักยภาพของทีม
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อยงลงไป
เพราะขนาดผู้นำยังไม่มั่นใจ
แล้วสมาชิกในทีมจะมั่นใจหรือเชื่อใจกันเองหรอ
ฉะนั้นในฐานะผู้นำตามสถานการณ์ หรือผู้นำเฉพาะกิจ
จึงไม่ใช่งานกล้วยๆหรือง่าย
หลายองค์กรก่อนจะเลื่อนพนักงานขึ้นเป็นหัวหน้างาน
จึงต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบนี้เสียก่อน
แล้วคุณล่ะพร้อมที่จะเติบโตหรือยัง

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ยีเอ๋ง เย้ยฟ้า แก้ผ้าด่าโจโฉ

บทที่ 20
ยีเอ๋ง เย้ยฟ้า แก้ผ้าด่าโจโฉ
เทคนิคการกำจัดคนดีมีชื่อเสียงของผู้นำ


ก่อนโจโฉจะเปิดฉากประกาศศึกยุทธการกัวต๋อ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวร่วมต่อจ้านอ้วนเสี้ยว
หนึ่งในแนวร่วมที่โจโฉเล็งอยู่ก็คือเล่าเปียว ผู้ครองแคว้นเกงจิ๋ว

ขงหยงที่ปรึกษานายกฯโจ
ถือโอกาสสนับสนุนนักปราชญ์หนุ่มเพื่อนรุ่นน้องเขานามยีเอ๋ง
ด้วยการเขียนฎีกากราบทูลให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า

"ข้าพเจ้าขงหยงขอกราบทูลให้ทราบ
ด้วยยีเอ๋งคนหนึ่งอายุยี่สิบปี อยู่ในเมืองหล่อ
มีสติปัญญารู้หลักมาก
จักษุแลไปเห็นสิ่งใดแลหูได้ยินเสียงอันใด
ใจนั้นก็คิดตลอดไม่ขัดขวาง
ประมาณการถูกทุกประการ
ขอให้เอายีเอ๋งมาใช้ราชการ
แต่งให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเห็นจะได้โดยง่าย”

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดเกล้าให้ยีเอ๋งเป็นขุนนาง
โจโฉจึงเรียกยีเอ๋งมาสอบสัมภาษณ์
นายกโจฯแสร้งนิ่ง เพื่อดูอากัปกริยาของยีเอ๋ง
เจ้านักปราชญ์หนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอใจแล้วรำพึงออกมาว่า

"เสียดายยิ่งนัก ทอดตาทั่วแผ่นดินกว้างใหญ่ แลไม่เห็นคนดีมีสติปัญญาแม้แต่สักคน"

โจโฉได้ฟังจึงท้วงว่า
"แผ่นดินเรานี้ที่ปรึกษาแลทหารที่มีฝีมือก็มีเป็นอันมา
เหตุไฉนตัวจึงว่าไม่มีคนดี"

ยี่เอ๋ง คิดในใจว่าเข้าทางกูจึงบอกว่า
"ไหนลองเอ่ยนามให้ข้าพเจ้าฟังหน่อยเป็นไร"

โจโฉจึงบอกว่า
"ซุนฮก ซุนฮิว กุยแก เทียหยก ทั้งสี่คนนี้เป็นที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาเป็นอันมาก ส่วนทหารเอกที่มีฝีมือนั้นคือเตียวเลี้ยว เคาทู ลิเตียน งักจิ้น ทั้งสี่คนนี้มีฝีมือกล้าแข็งในการสงครามฯลฯ" โจโฉพรรณามามากมาย

ยีเอ๋งฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจแล้วกล่าว่า

"ซุนฮกนั้นหน้าเหมือนหนึ่งจะร้องไห้ชอบแต่ให้เยี่ยมไข้ส่งสักการศพ"
"ซุนฮิวนั้นชอบแต่ให้เป็นสัปเหร่อรักษาศพ"
"เทียหยกนั้นชอบแต่ใช้ให้เฝ้าจำหล่อ"
"กุยแกนั้นชอบแต่ให้แต่งโคลงแลอ่านบัตรหมาย"
"เตียวเลี้ยวนั้นชอบแต่ให้ตีกลองแลระฆัง"
"เคาทูนั้นชอบแต่ให้เลี้ยงวัวแลม้า"
"ลิเตียนนั้นชอบแต่ให้อ่านฟ้อง"
"งักจิ้นนั้นชอบแต่ให้เดินหมาย"
"ลิยอยนั้นชอบแต่ใช้ให้ชำระอาวุธ"

โจโฉเป็นคนรักลูกน้องแต่ยีเอ๋งมาบังอาจด่าลูกน้อง
ชนิดเสียคนถึงขนาดนี้จึงโกรธแต่พยายามข่มใจ
แล้วตัวท่านล่ะมีความรู้สิ่งใด

"ตัวเรานี้มีความรู้เจนจบทั้งเดือนดาวในนภากาศ
ปรัชญาศาสนา ลัทธิ ล้วนรู้แจ้งหมด แม้ในการปกครองแผ่นดินเราก็สามารถถวายคำแนะนำให้ฮ่องเต้ สามารถอบรมแนะนำประชาราษฎรทั่วแผ่นดินเหมือนกับขงจื๊อก็ได้ ฉะนี้แล้วท่านจะเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนสามัญได้อย่างไร"

ในขณะนั้นเตียวเลี้ยวยืนฟังคำยีเอ๋งอยู่ก็โกรธตาม ถอดกระบี่ออกจากฝักจะฟันยีเอ๋งเสีย แต่โจโฉก็ห้ามเตียวเลี้ยวไว
แล้วจึงบอกับยี่เอ๋งว่า
"เมื่อท่านเก่งเช่นนั้นตอนนี้ทางราชการขณะนี้ยังขาดคนตีกลองต้อนรับแขกดังนั้นข้าจะให้เจ้ารับหน้าที่นี้ไป"

ยี่เอ๋งก็นิ่งไม่ตอบ
พอถึงวันที่มีงานเลี้ยงในจวนมหาอุปราช
เสียงกลองดังกระหึ่ม ด้วยจังหวะที่ไพเราะ
ทั้งเสียงทุ้มก็กังวานฟังฮึกเหิม
พอเสียงเบาก็ราวกับการต่อกระซิบ
ยีเอ๋งทำหน้าที่ตีกลองได้อย่างยอดเยี่ยม จนเรียกว่าไร้ที่ติ
ทุกคนปรบมือให้กับมือกลอง

ทว่าชุดที่มือกลองใส่มันช่างเก่าราวกับยาจกขอทาน
ขุนนางคนหนึ่งจึงบอกว่า
ชุดมีตั้งเยอะไฉนเอาชุดพรรคกระยาจกมาใส่ สกปรกสุดๆ
ยีเอ๋งได้ฟัง จึงรำพึงว่าเช่นนั้นถ้ามึงต้องการความสะอาดแบบโอโม
กูจัดให้ ว่าแล้วยีเอ๋งก็แก้ผ้ากลางงานเลี้ยง

โจโฉถึงกับทนไม่ไหวต้องปิดต
แล้วบอกว่า "มึงเป็นบ้าไปแล้วหรอถึงมาทำอุจาดในงานนี้"
ยีเอ๋งตะโกนไปว่า "ร่างกายนี้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยบิดามารดาให้กำเนิด
หาใช่โสโครกเหมือนใครบางคน"

โจโฉจึงถามกลับไปว่า
"มึงว่าใครโสโครก"
ยี่เอ๋งรอจังหวะนี้มานานจึงสวนไปว่า
"ไม่เข้าใจหรือว่ากูด่าใคร
กูจะพรรณนาความโสโครกของมึงให้ฟัง
ประการหนึ่งมึง ไม่รู้จักคนดีแลชั่ว จักษุของมึงนั้นเป็นสิ่งโสโครก ประการที่สองซึ่งผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อ เห็นว่าตัวทำการหยาบช้า ห้ามปรามตัวโดยสุจริต มึงมิได้ฟัง หูของมึงเป็นที่โสโครก ประการที่สามมึงมิได้โอบอ้อมอารีต่อขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง แล้วตัวคิดอ่านทำการหยาบช้า ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน ใจของมึงก็เป็นการโสโครก"

โจโฉนับความโสโครกได้ 3 อย่างในร่างกายจึงให้ทหารไปหิ้วปีกยี่เอ๋ง
พร้อมทั้งบังคับให้ไปเป็นทูตเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวที่เกงจิ๋ว
แม้ยี่เอ๋งจะไม่อยากไปก็ขัดไม่ได้
เพราะโจโฉเอาชีวิตของครอบครัวยี่เอ๋งเป็นเครื่องต่อรอง

ยี่เอ๋งไปถึงเกงจิ๋วคารวะเล่าเปียวตามพิธี
จากนั้นจึงเจรจาความแบบกวนประสาท ตามสไตล์
เล่าเปียวจึงบอกว่าเช่นนั้นเชิญท่านผู้ชาญฉลาดไปเกลี้ยกล่อมหองจอเถิด
หองจอว่าเช่นไรเราก็ทำตาม

เมื่อยี่เอ๋งมาพบกับหองจอก็ตีสำนวนกวนประสาทในงานเลี้ย
หองจอได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกทหารเข้ามากุมตัว
ฉับพลันนั้นก็ดึงกระบี่เสียบยี่เอ๋งทะลุอก
ปิดฉากชีวิตปราชญ์ผู้ชาญฉลาดในสามโลก

สามก๊กตอนนี้หลายคนจะมองว่ายี่เอ๋งเสียแรงเป็นปราชญ์
แต่ต้องมาตายเพราะปากตนเอง
ส่วนตัวของผม
การเปลือยกายตีกลองของยี่เอ๋ง
มีประเด็นที่น่าคิด
ทำไมคนเป็นปราชญ์จึงทำเรื่องอุจาดเช่นนี้

สำหรับผมยี่เอ๋งคือคนกล้า ที่ไม่กลัวตาย
ในราชสำนักจะมีใครกล้าเหยียดหยามโจโฉได้เช่นนี้
ปราชญ์หญู(ปราชญ์สายขงจื๊อ)
ถือเรื่องมารยาทความสำรวม
แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือคุณธรรมความถูกต้อง

ขุนนางส่วนใหญ่ต่างกลัวตายจนละเลยคุณธรรมข้อนี้
รักษาได้แค่มารยาทและความสำรวม
ก้มหน้ารับใช้โจโฉ (ในมุมของยี่เอ๋งโจโฉคือกังฉิน)
กดขี่ราชวงศ์ฮั่นทั้งที่ทุกคนเป็นข้าราชสำนักฮั่น
ซึ่งเป็นคุณสมบัติของปราชญ์หญูจอมปลอม

ยี่เอ๋งเป็นปราชญ์ทำไมจะไม่รู้
และยิ่งรู้ใหญ่ว่าโจโฉมีอำนาจล้นฟ้า
สามารถสังหารใครก็ได้
ยัดข้อหาให้ใครก็ได้
แต่เขาก็จะทำเพราะปราชญ์หญูไม่ได้ให้คุณค่าของคนที่อาย
แต่ให้คุณค่าของคนที่คุณธรร

อายุยืน100 ปีรับใช้กังฉินมีประโยชน์หร
แต่อายุเพียง24 (ยี่เอ๋งอายุได้24 ) แต่สามารถทำประโยชน์ให้แผ่นดิน
จรรโลมความถูกต้องเพื่อให้เหล่าขุนนางได้เห็นเป็นตัวอย่าง
นี่แหละคือความถูกต้องในทัศนะของปราชญ์

การเปลือยกายด่าโจโฉจึงบังเกิดขึ้น
เป็นการประจานผู้นำ
เป็นการท้าทายแบบไม่ยำเกรงผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ
โดยไม่กลัวต่อการตาย

ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงแก้เล่นเกมการเมือง
ด้วยการใช้ยี่เอ๋งไปกล่อมเล่าเปียว
หากสำเร็จก็ได้เล่าเปียวเป็นแนวร่วม
หากไม่สำเร็จก็เป็นการทำลายชื่อเสียง
ดิสเครดิตของยี่เอ๋งคนกล้า
ให้คนทั้งโลกรับรู้ถึงความดีแต่ปาก

การกำจัดคนที่มีชื่อเสียงที่ดีงาม
ีจะทำให้ชื่อเสียงของโจโฉหม่นหมองฐานะประหารคนดี
เพียงเพราะเขาเอาความจริงมาประจาน
แม้ตายชื่อเสียงยังคงอยู่

แต่การทำให้ชื่อเสียงหม่นหมองแล้วค่อยกำจัด
ย่อมทำให้คนผู้นั้นหมดความน่าศรัทธา
หมดคุณค่าในการนับถือ
เขาจะสูญเสียทั้งชีวิตและชื่อเสียง
สุดท้ายก็จะถูกลืม

ทว่ากว่าจะโจโฉจะแก้เกมการเมืองนี้ได้
ก็เล่นเอาหน้าชาเพราะถูกด่าต่อหน้าสาธารณชน

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : จุดจบซุนเซ็ก

บทที่ 19
จุดจบซุนเซ็ก
ความใจร้อนที่ทำลายชีวิตตนเอง


ซุนเซ็กถูกลอบทำร้ายจนอาการสาหัส
หมอที่มารักษาบอกว่าสมควรให้ผู้ป่วย
พักฟื้น 100 วันอาการ ภายใน100วันห้ามเครียด
ห้ามมีโทสะเพราะพิษจะกำเริบถึงแก่ชีวิต

ซุนเซ็กสามาถทำได้ 20 กว่าวัน
เริ่มเบื่อที่จะหยุดยาวจึงเริ่มมาทำงาน
ขณะทึ่อยู่บนหอรบ
ได้ยินเสีบงทหารพูดว่า
"ท่านนักพรตอเกียดมาถึงแล้ว รีบลงไปกราบไหว้กัน"
ไม่เฉพาะแต่ทหาร แม้กระทั่งแม่ทัพและขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ไปด้วย
สร้างความไม่พอใจให้กับซุนเซ็กเป็นอย่างยิ่ง
ที่เห็นผู้คนงมงายกันเช่นนั้น

จึงให้ทหารไปกุมตัวอิเกียดขึ้นมา
ทหารที่ไปก็ไม่กล้าเผชิญหน้าอิเกียด
ได้แต่เชื้อเชิญอิเกียดไปสนทนากับซุนเซ็ก

เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน
ซุนเซ็กก็กล่าวว่า. อิเกียดเป็นพวกต้มตุ๋น
อาศัยความเชื่อ สอนให้คนงมงาย
อิเกียดจึงชี้แจงว่าตนเองเป็นหมอที่ได้ตำรายามาจากท่านเซียน
(เหมือนเตียวก๊ก ผู้นำสูงสุดของโจรโพกผ้าเหลือง)
จึงนำความรู้มารักษาผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก

ซุนเซ็กได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธ
สั่งทหารให้เอาตัวอิเกียดไปประหาร ฐานหลอกลวงผู้คน
ทว่าเหล่าขุนนางจำนวนมากต่างทัดทาน
คุกเข่าขอชีวิตอีเกียด
ซุนเซ็กเห็นแก่เหล่าขุนนางจึงสั่งให้นำตัวอิเกียดไปคุมขัง

ตกเย็นจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ง่อก๊กไท่ ผู้เป็นมารดาฟัง
ก๊กไท่นั้นศรัทธาในตัวอิเกียดมาก
จึงตำหนิซุนเซ็กว่าทำไม่ถูกและแนะให้ไปขอขมาท่านเซียน
ทำให้ซุนเซ็กโกรธมากขึ้น

ประจวบกับช่วงนั้นเมืองกังตั๋งฝนแล้ง
ซุนเซ็กจึงให้ทหารไปบอกอีเกียดว่า
" ถ้าเจ้าเรียกฝนมาได้ก็จะปล่อยตัวไป"
อิเกียดตกลงทำพิธีเรียกฝน แต่ก็ประกาศพยากรณ์ชะตาตัวเองกับชาวเมืองที่มาเฝ้าดูว่า บัดนี้ความตายได้มาถึงตัวเราแล้ว ไม่มีผู้ใดมาช่วยให้รอดชีวิตได้ ซุนเซ็กให้ทหารขนเอาฟืนกับฟางมาสุมไว้ใต้โรงพิธี ถ้าพ้นเที่ยงวันหากฝนยังไม่ตก ก็ให้จุดเพลิงเผาอิเกียดไอ้คนลวงโลก

ครั้นเวลาเที่ยงวันฝนไม่ตก
ซุนเซ็กจึงร้องด่าอิเกียดว่าเป็นคนลวงโลก ให้ทหารจับตัวอิเกียดมัดไว้บนกองฟืนแล้วจุดไฟเผา
พอเพลิงเริ่มลุกโหม ฝนตกหนักดับเพลิงที่เผาอยู่จนดับสิ้น

อิเกียดร้องให้ฝนหยุดตก ฝนก็หายไปทันที ขุนนางกับราษฎรเห็นกับตาว่าอีเกียดทำการอัศจรรย์ ต่างพากันลุยโคลนเข้าไปแก้มัดอิเกียด
คำนับกราบไหว้แล้วอุ้มตัวออกมา

ซุนเซ็กเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธและริษยาอิเกียดแล้วตะโกนไปว่า
ร้องว่าที่ฝนตกก็ด้วยอำนาจของเทพยดา
หาใช่ความเก่งกาจของอิเกียดไม
่ อิเกียดเป็นคนโกหก ซุนเซ็กจึงสั่งให้จับอิเกียดฆ่าเสีย นำศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง
มิให้ผู้ใดทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป

ภายหลังจากซุนเซ็กฆ่าอิเกียดตายแล้ว เกิดสติคลุ้มคลั่งเห็นภาพอิเกียดมาหลอนหลอกตลอดเวลา
ขุนนางกับราษฎร รวมทั้งมารดาและนางไต้เกี้ยวภรรยา
ต่างเชื่อว่าที่ซุนเซ็กเป็นเช่นนี้เนื่องจากไปล่วงเกินท่านเซียน

ทว่าซุนเซ็กก็ยืนยันจนนาทีสุดท้ายว่า
ที่ตนเองตายสาเหตุ มิใช่มาจากสั่งฆ่าอิเกียด
แต่เพราะเขาชะตาถึงฆาต

ผมชอบสามก๊กในตอนนี้มาก
เพราะมันเป็นการปะทะกันระหว่างความเชื่อและความจริง
และสะท้อนมุมมองมากมายในเรื่องนี้
เช่นถ้าเรามองในประเด็นสุขภาพจะพบว่า
ซุนเซ็กไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ทำให้พิษกำเริบ
ที่สำคัญพิษที่ซุนเซ็กได้รับก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นพิษประเภทไหน
ทำให้สันนิษฐานว่าภาพหลอนที่เขาเห็น
เกิดจากพิษที่กำเริบและส่งผลต่อสมอง
ทำให้เห็นภาพหลอนต่างๆ
จนทำให้ซุนเซ็กต้องจบชีวิตไปอย่างเสียดาย

ถ้ามองในมุมความเชื่อของคนยุค1,600 ปีก่อน
ก็ต้องเชื่อว่าซุนเซ็กตายเพราะล่วงเกินท่านเซียนอิเกียด
ส่วนภาพหลอนที่เห็นเกิดจากคำสาปของอีเกียด

ประเด็นต่อมา
เหตุผลที่ซุนเซ็กฆ่าอิเกียด
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอิเกียดไม่ได้หลอกลวง
สิ่งนี้เราเรียกว่า "การคาดคะเน"
แม้อิเกียดจะยังไม่ได้ทำความผิด
แต่ในอนาคตไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า
เขาจะไม่กบฎ

ประวัติศาสตร์สอนซุนเซ็กว่า
เมื่อก่อนเตียวก๊กก็เป็นคนดี ช่วยเหลือชาวบ้าน
จนชาวบ้านต่างศรัทธา
จนทำให้เตียวก๊กคิดการใหญ่ล้มล้างราชวงศ์ฮั่น

อิเกียดก็ไม่ต่างจากเตียวก๊ก
ที่ทำตัวเป็นคนดี ช่วยเหลือผู้อื่น
แต่น้ำใจคนยากจะหยั่ง
ขนาดขุนนางของซุนเซ็กที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสมรภูมิรบ
ยังกล้าคุกเข่าร้องขอชีวิตอีเกียด
ใจคนจำนวนมากโอนเอียงไปทางอิเกียด
นี่คือสิ่งที่ผู้นำอย่างซุนเซ็กวิตกกังวล
และต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมนี่คือการคาคคะเนของซุนเซ็ก

แต่เขาไม่สามารถอธิบายเหตุผล
ที่ฆ่าอิเกียดเพราะการคาดคะเน ได้
เพราะความผิดของท่านเซียนยังไม่ปรากฎ
จะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมหรือตัดสินแบบนิติรัฐก็ไม่ได้
ซุนเซ็กจึงใช้อำนาจตนเองในฐานะผู้นำรัฐ(โบราณ)

การคาดคะเนของซุนเซ็กแม่นยำหรือไม่
ผมคงไม่กล้าฟันธง
แต่นับจากนั้นไปก็ไม่มีพวกนักพรตแบบอิเกียดปรากฎตัวในง่อก๊ก
ทำให้การปกครองของซุนกวน(ผู้สืบทอดของซุนเซ็ก)
เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคจากพวกอ้างความเชื่อ
เข้ามาหารับประทานในราชสำนักง่อก๊ก

สำหรับผู้นำ ผมถือว่าเป็นข้อคิดครับ
เพราะการคาดคะเนก็เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์
ผู้นำที่เก่งคือคนที่คาคคะเนแม่นยำ
แม้เหตุการณ์เหล่านั้นจะยังไม่เกิด

ทว่าในยุคนี้ถ้าคุณทำแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครชอบ
ฉะนั้นสำหรับผู้นำจึงต้องมีกลยุทธ์สนับสนุนการคาดคะเน
เช่นทำให้คนๆนั้นกลายเป็นคนอื้อฉาว
หม่นหมอง เสียภาพลักษณ์
หมดความน่าศรัทธาในสายตาคนทั่วไป
จากนั้นจึงค่อยหาเรื่องลงดาบหรือปลดออก

แต่ถ้าเบาหน่อยก็ควรใช้วิธีประกบ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ
ถ้าเขายังไม่ได้ทำผิดก็ถือว่าโชคดีไป
แต่เมื่อใดที่มีความผิดปรากฎ
ก็ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการลงดาบหรือปลดออก
เพียงเท่านี้ผู้นำก็ไม่ต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือ
และทั้งหมดคือกลยุทธ์บริหารคนจากตำราจีนโบราณ

เหมือนที่คุณคาคคะเนใครบางคนในผู้ถือหุ้นว่าสักวัน

หากวันหนึ่งมันคิดการใหญ่หรือส่งเสริ

ฆ่าผู้บริสุทธ์ร้อยคนดีกว่าปล่อยคนผิดเพียงคนเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ซุนเซ็ก ผู้นำตายน้ำตื้น

บทที่ 18
ลอบสังหารซุนเซ็ก
เมื่อผู้นำตายน้ำตื้น


โจโฉใช้เวลานับสิบปีในการก่อร่างสร้างอาณาจักรวุย
เล่าปี่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะมีอาณาจักรจ๊ก
ทว่าซุนเซ็กใช้เวลาไม่ถึง 5 ปี รวมแผ่นดินกังตั๋ง สร้างอาณาจักรง่อ
แต่ยอดขุนศึกผู้นี้กลับอายุสั้นเพียง 26 ปี ก็เสียชีวิต

ครั้งนั้นโจโฉจะยกทัพไปรบกับอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือ
แต่ก็หวั่นใจว่าซุนเซ็กแห่งกังตั๋งจะฉวยโอกาสที่ตนไม่อยู่
ยกทัพบุกพระนครฮูโต๋ เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่กังตั๋ง

กุยแก ยอดกุนซือของโจโฉกล่าวว่า
"นายท่านยกพลขึ้นเหนือเถอะ
ซุนเซ็กมันไม่มีทางมาตีเราได้
เพราะคนอย่างมัน ต้องตายด้วยมือทหารเลว"

โจโฉและบรรดาขุนศึกทุกคนล้วนแต่งงกับสิ่งที่กุยแกพูด
ทุกคนต่างคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร

วันนั้นซุนเซ็กออกล่าสัตว์(ล่าสัตว์คืองานอดิเรกของซุนเซ็ก)
ขณะที่เขาควบม้าไล่ตามกวาง
ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นนายทหารถือทวน3 คน
จึงหยุดม้าแล้วถามว่า
"พวกเจ้าเป็นใคร"
ทั้ง3 จึงบอกว่า
"พวกเราเป็นทหารของแม่ทัพฮันต๋ง ออกมาล่าสัตว์แถวนี้"

ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่สนใจอะไร
จู่ก็เจ็บที่ขาพอก้มลงไปดูก็พบว่าถูกทวนเสียบ
อีกคนหนึ่งจึงแทงซ้ำ
ซุนเซ็กหลบได้แต่ก็ตกจากหลังม้า
ด้วยความเจ็บปวดทำให้กระบี่หลุดจากมือ

มือสังหารจึงตะโกนว่า
"กูทั้งสามคือบ่าวของท่านเค้าก้อง
ที่มึงล้างโคตรเจ้านายกู
วันนี้ก็จะมาล้างแค้นเอาชีวิตมึง"

ซุนเซ็กไม่มีอาวุธอะไร
เหลือแต่คันธนูที่เอาไว้ป้องกัน
มือสังหารคนที่3จึงยิงธนูใส่หน้าผากซุนเซ็ก
แม้จะเจ็บปวดแต่ก็กดฟันดึงลูกธนูออก
แล้วยิงใส่มือสังหารอย่างรวดเร็ว
ลูกธนูเข้ากลางอก สิ้นใจทันที

อีกสองคนก็แทงทวนใส
่ ซุนเซ็กได้แต่ปัดป้อง
เพราะเคลื่อนไหวไม่สะดวก
โชคดีแม่ทัพเทียเภา ควบม้ามากับไพร่พล
ซุนเซ็กจึงตะโกนว่า
"ฆ่าพวกโจรให้หมด"

เทียเภาสั่งลูกน้องฆ่ามือสังหารอย่างรวดเร็ว
และรีบพาซุนเซ็กไปรักษาเป็นการด่วน

คุณผู้อ่านครับ
ซุนเซ็กเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน
ที่คิดเร็ว ทำเร็ว จนคนอื่นตามไม่ทัน
ที่สำคัญเขาไม่คิดว่าจะถูกลอบสังหารในถิ่นของตนเอง
แบบนี้เรียก "ตายน้ำตื้น" ทำให้กังตั๋งหรือง่อก๊ก
ต้องเสียสุดยอดผู้นำไป

บทเรียนความผิดพลาดของผู้นำในตอนนี้คือ
"ความประมาท"
ในเชิงการบริหารก็เช่นกัน

ผู้นำจำนวนมากตายน้ำตื้น
เพราะคิดว่างานกล้วยๆ ไม่มีปัญหา
จนลืมแผนสองรองรับเพราะคิดว่าไม่มีทางพลาด
และไม่เผื่อทางหนีทีไล่

ผมเคยเจอหัวหน้างานท่านหนึ่ง
ต้องทำรายงานนำเสนอลูกค้า
ข้อมูลแต่ละอย่างแม้จะหายากแต่ก็ไม่เกินความสามารถ
เขาสามารถทำงานเสร็จก่อนกำหนด
แต่เขาชะล่าใจไม่ยอมเซฟไฟล์ไว่ที่อื่น
เพราะคิดว่าไม่มีปัญหาหรอก

รุ่งเช้าจึงรีบเดินทางไปบริษัทลูกค้า
พอถึงเวลานำเสนองานพบว่าไฟล์งานนั้นหาย
จะหายเพราะถูกไวรัสหรืออะไรก็ไม่ทราบครับ
ทำให้เขาต้องอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จำเป็นต้องนำเสนอปากเปล่า

เมื่อเลิกประชุมจึงถูกเจ้านายตำหนิว่า
"คุณเป็นผู้ใหญ่ทำไมทำงานไม่เป็นมืออาชีพ
ไม่มีความพร้อมในการทำงาน
ลูกค้าวันนี้คุณก็รู้ว่าเขาเป็นรายใหญ่
หากไม่ได้งานคุณต้องรับผิดชอบ"

สุดท้ายเป็นไปตามที่คาด
ลูกค้าเลือกงานบริษัทอื่นครับ
ทำให้หัวหน้างานท่านนี้ถูกตำหนิอย่างหนัก

หากให้ความเป็นธรรม
สักหน่อยเราจะพบว่าการที่ลูกค้าไม่เลือกบริษัทน
ี้ไม่ใช่เพราะปัญหาการนำเสนอ
แต่อาจจะเป็นเพราะเรื่องอื่นก็ได้
ทว่าเรื่องความไม่พร้อมกลายเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนเห็น
หัวหน้างานท่านนี้จึงกลายเป็นแพะไปโดยปริยาย

คุณผู้อ่านครับ
นี่แหละผลของความเลินเล่อ
หากเขาเซฟงานเอาไว้ที่อื่น
หรือส่งงานเข้าอีเมลล์ตนเอง
อย่างน้อยก็ยังมีสำรอง

ฉะนั้นการจะทำสิ่งใดจำเป็นต้องรอบคอบ
อย่าคิดว่าไม่มีปัญหาเพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : โจโฉพลาดท่าหม้ายสาวพราวเส่ห์

บทที่ 17
โจโฉพลาดท่าหม้ายสาวพราวเส่ห์
บทเรียนสุดยอดผู้นำที่พ่ายศึกเพราะเรื่องบนเตียง


ในบรรดาความพ่ายแพ้ที่บาดลึกของโจโฉ
คือการพ่ายแพ้เตียวสิ้ว ผู้ครองเมืองอ้วนเซีย
เพราะศึกนี้โจโฉต้องเสียโจงั่ง ลูกชายคนโต
โจอันบิ๋น หลานชายคนโต
เตียนอุย ยอดองครักษ์พิทักษ์โจโฉ

ศึกนี้โจโฉต้องรบกับเตียวสิ้ว
เตียวสิ้วเห็นโจโฉยกทัพมาเยอะ
จึงปรึกษากาเซี่ยงเสนาธิการ
กาเซี่ยงจึงแนะว่า "ยอมแพ้" เถอะ

คนฉลาดต้องรู้จักปรับตัว
โจโฉยกทัพมาขนาดนี้
หากฝืนสู้ก็มีแต่สูญเสีย
ฉะนั้นถนอมกองกำลังเอาจะดีกว่า
เราถือคติ"ยอมแพ้หาใช่ยอมจำนน"

ศึกนี้โจโฉยังไม่ได้ออกแรงรบก็ชนะครับ
จึงถือโอกาสพักผ่อนก่อนยกทัพกลับพระนครฮูโต๋
ทว่าอยู่นานจึงรู้สึกเหงา
บังเอิญไปสตรีงามนางหนึ่งจึงรู้สึกปิ๊ง
อยากได้นางมาคลายเหงา

คนสนิทของนายกฯโจโฉจึงบอกว่า
นางชื่อเจ๋าซือเป็นภรรยาม่ายของเตียวเจ
เป็นอาสะใภ้ของเตียวสิ้ว
ทว่าโจโฉไม่สนเพราะทนไม่ไหว
ตกค่ำวันนั้นจึงได้นางมาเป็นภรรยา

ข่าวโจโฉได้เสียกับอาสะใภ้มาถึงหูเตียวสิ้ว
สร้างความโกรธแค้นมากเพราะแค่ยอมแพ้ก็อัปยศแล้ว
ยังมาถูกโจโฉเหยียดหยามขนาดนี้
จึงปรึกษากับกาเซี่ยง

กุนซือเจ้าปัญญาจึงแนะนำแผนว่า
รอจังหวะอีกหน่อยให้ไอ้โจโฉคนหื่นมันตายใจ
คิดว่าพวกเราไม่มีพิษภัยอะไร
จากนั้นท่านจึงเข้าหามันเพื่อปรึกษางาน
โดยอ้างว่าทหารในเมืองหนีทัพ เพราะตัวท่านหมดบารมี
ส่วนตัวโจโฉนั้นมากบารมี ฉะนั้นจึงขอให้ทหารในเมืองมาตั้งค่ายใกล้ๆ
กับทหารหลวงของโจโฉที่อยู่นอกเมือง
เพื่อให้ทหารยำเกรงบารมีของมหาอุปราช(โจโฉ) จะได้ไม่กล้าหนีทัพ

โจโฉหนุ่มใหญ่ขี้เหงาเมื่อได้กระดังงาลนไฟอย่างเจ๋าซือ
มาบำบัดความเหงา
จากเดิมเป็นคนขี้เหงาก็กลายเป็นคนขี้ลืม
ลืมไปหมด ไม่ว่าจะงานราชการหรือแม้กระทั่ง
้กระทั่งประชุมกองทัพก็ไม่เคยมา

วันหนึ่งเตียวสิ้วมาหารือกับโจโฉ
ในเรื่องที่เตรียมการไว้กับกาเซียง
โจโฉเองก็รำคาญเพราะจะรีบไปหาความสำราญต่อ
จึงอนุมัติแบบง่ายๆโดยไม่ได้ไตราตรอง

ตกดึกทั่วทั้งค่ายโจโฉจึงเกิดไฟไหม้
แบบไร้สาเหตุ ตามด้วยมีหน่วยทัพไอ้โม่ง
บุกทะลวงค่ายรัฐบาล
เตียนอุย องครักษ์พิทักษ์โจโฉรบสุดความสามารถ
เพื่อไม่ให้เจ้านายถูกทำร้าย
สุดท้ายถูกธนูยิงกลายเป็นเม่น

ส่วนโจงั่งลูกชายคนโต
โจอันบิ๋นหลานชายคนโต
ล้วนพลีชีพทดแทนบุญคุณบุพการี
เปิดโอกาสให้โจโฉได้หนีตาย

ศึกนี้สร้างความเสียหายให้กับโจโฉมากมาย
ทั้งกองทัพและลูกหลาน
สร้างความเสียใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง

คุณผู้อ่านครับ
จอมยุทธยากผ่านด่านหญิงงามฉันใด
โจโฉก็ยากผ่านด่านหญิงงามฉันนั้น

จริงๆแล้วเหตุการณ์เตียวสิ้วก็ไม่อยากให้อาสะใภ้ทำเช่นนี้
แต่เมื่อเรื่องมันบานปลายขนาดรู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
สิ่งเดียวที่ทำได้คือจำเป็นต้องให้นางเจาซือ เป็นนกต่อ
มัวเมาโจโฉให้เต็มที่
เพื่อหาโอกาล้างอาย
ซึ่งนางก็ทำได้ดี จนทำให้เตียวสิ้วชนะศึกครั้งนี้

บางครั้งความพลาดพลั้งของผู้บริหารหรือผู้นำ
ไม่ได้มาจากเรื่องงานหรือเรื่องคน
หากแต่พลาดท่าเพราะผู้หญิง
เนื่องจากเรื่องแบบนี้มันยากปฎิเสธ

เจียงไท่กง ผู้เขียนพิชัยสงครามลิ่วเทา
จึงใช้สตรีเป็นหนึ่งในเครื่องมืออ่านคน
เพราะผู้นำจำนวนมากชอบเล่าความลับที่ไม่ควรเปิดเผย
หรือเรื่องราวที่ไม่ควรปรึกษาให้กับสตรีข้างกายฟัง
บางคนหลงมัวเมาแต่ผู้หญิง
จนทำให้เสียการเสียงาน

การใช้สตรีทดสอบความหนักแน่นของผู้นำ
จึงเป็นแบบทดสอบหนึ่งในการอ่านคนของจีนโบราณ

มาถึงยุคนี้คงไม่มีใครใช้สตรีทดสอบความหนักแน่น
แต่ใช้สตรีเป็นเครื่องมือในการล้วงความลับ
หรือนำมาใช้แบล็คเมล์กับพวกเซเลปหรือคนดัง

ภายใต้กลยุทธ์นี้ทำให้ผู้นำจำนวนไม่น้อยพลาดท่า
เพราะถูกแบล็คเมล์ หรือถูกแฉในหลายๆเรื่อง
จากผู้หญิงเพียงคนเดียว
ทำให้เสียชื่อเสียง หมดความน่าศรัทธา
ยิ่งมีคลิปหลุดกันสนั่นเมือง
ก็ยิ่งน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ระวังในเรื่องนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เล่าอิ้ว พ่ายซุนเซ็ก

บทที่ 16
เล่าอิ้ว พ่ายซุนเซ็ก
เมื่อผู้นำมองข้ามคลื่นใต้นำ


ในบรรดาขุนศึกแดนใต้ (ก่อนที่ซุนเซ็กจะรวมง่อก๊ก)
ชื่อเสียงของ เล่าอิ้ว เจ้าเมืองยงจิ๋ว นับว่าโด่งดังพอสมควร
ติดอันดับ 3 เจ้าพ่อแห่งเจียงตง(แผ่นดินตะวันออกของแม่น้ำแยงซีเกียง)
1 เล่าอิ้ว เจ้าเมืองยงจิ๋ว
2. เงียมแปะฮอ ผู้สถาปนาตนเองเป็นเต๊กอ๋ออง
3. อ่องหลอง เจ้าเมืองห้วยเข

เมื่อซุนเซ็กยกทัพมาบุกเมืองยงจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองในปกครองของเล่าอิ้ว
เตียวเอ๋ง ทหารเอกของเล่าอิ้ว อาสายกทัพออกศึก
ตั้งค่ายที่เขางิวจู๋ ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เข้าตียาก
ช่วงแรกซุนเซ็กพยายามยกทัพบุกตีแต่ไม่สำเร็จ

ทว่าเตียวเอ๋งก็ไม่ได้ระวังในเมือง
ทำให้ถูกกองกำลังอิสระนำโดยจิวขิมและจิวท่าย
2 นายโจรลอบวางเพลิงในค่าย
เพราะทั้งสองต้องการเข้าร่วมกับซุนเซ็ก
ซุนเซ็กจึงรีบบุกเข้าตีจนสามารถยึดชัยภูมิดังกล่าวได้

เมื่อซุนเซ็กท้าประลองไทสูจู้ ขุนศึกเจนวายของเล่าอิ้ว
ในระหว่างที่ทั้งสองทำศึก
ตันบู กองกำลังอิสระถือโอกาสนี้
จับมือกับจิวยี่ทหารเอกของซุนเซ็ก
ยึดเมืองต่างๆของเล่าอิ้ว จากแนวหลัง

เล่าอิ้วจึงตัดสินใจเคลื่อนทัพเข้ายึดเขางิวจู๋
ที่ถูกซุนเซ็กยึดไปก่อนหน้านี้
เพื่อตัดทางถอยซุนเซ็ก

ทว่าซุนเซ็กมีหน่วยข่าวกรองที่ดีกว่า
จึงรู้ว่าเล่าอิ้วจับมือกับฉกหยง
เคลื่อนทัพยึดเขางิวจู๋
จึงเคลื่อนทัพยึดคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังใช้หน่วยข่าวกรองสืบข่าวในเมืองเบาะเหลง
ที่มีซีเหลเป็นเจ้าเมือง ซึ่งยังประมาทคิดว่าซุนเซ็กยังรบติดพันกับเล่าอิ้ว
ทำให้การเตรียมการในเมืองไม่เข้มงวด
จึงถือโอกาสรีบยกทัพบุกตะลุยทันที
เป็นอันว่าซุนเซ็กสามารถโค่นเล่าอิ้ว
ล้มอำนาจ 1 ใน3. ก็อตฟาเธอร์แห่งเจียงตง

คุณผู้อ่านครับ
สามก๊กในตอนนี้ถ้าไม่อ่านให้ละเอียดจะมองเห็น
ว่าชัยชนะของซุนเซ็กมาจากความเร็วในการบุก
และความสามารถในการบของซุนเซ็ก

แต่ถ้าอ่านอีกหลายๆรอบจะพบว่า
ลำพังกองกำลังเล็กๆของซุนเซ็กที่มีไพร่พลไม่กี่พันคน
ถ้าต้องปะทะกับเล่าอิ้ว ซึ่งมีกองทัพนับหมื่น
ก็คงจะหืดขึ้นคอ
แม้ชนะก็ต้องเสียหายหนัก

แต่ที่ซุนเซ็กประสบความสำเร็จ
ส่วนหนึ่งมาจากการข่าวและการสร้างข่าว
ทำให้กองกำลังอิสระเลื่อมใสศรัทธา
ยอมละทิ้งอาชีพ"โจร" เพื่อมาขอเป็นทหารของซุนเซ็ก

ส่วนความพ่ายแพ้ของเล่าอิ้ว
มาจากการมองข้ามเรื่องคลื่นใต้น้ำ
เพราะไม่คิดว่ากองกำลังอิสระเล็กๆเหล่านี้
จะมาเป็นตัวแปรต่อชัยชนะ

ส่วนหนึ่งเพราะเล่าอิ้วประมาท
มองข้ามเรื่องคลื่นใต้น้ำ
เขามองแต่ปัจจัยภายในว่า
ี่ตนเองได้เปรียบในเรื่องชัยภูมิ
มีกองทัพมากกว่า
ปกครองพื้นที่มานานกว่า

จนลืมเรื่องคลื่นใต้น้ำ
ทำให้ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน
จนไม่สามารถฟื้นฟูอำนาจของตนเองได้อีก

กรณีศึกษาของเล่าอิ้ว
ได้ให้บทเรียนสำคัญกับเราใน
เรื่อง คลื่นใต้น้ำ หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจในนโยบาย
หรือการทำงานของเรา
ส่วนหนึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากแนวคิไม่ตรงกัน
หรือการเสียผลประโยชน์

สำหรับผู้บริหารอย่ามองข้ามเรื่องนี้นะครับ
เพราะบางครั้งคนที่คุณดูว่าเป็นแค่ "เสี้ยน"ในเวลานี้
อาจจะกลายเป็น "ซุง"ในอนาคต

วันนี้ลูกน้องหลายคนยังไม่มีโอกาส
ก็รวมตัวกันเป็นคลื่นใต้น้ำภายในองค์กร
ปกปิด อารมณ์และความรู้สึก
ต่อหน้าก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม

ฉะนั้นข้อมูลข่าวสารต่างๆจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่จะทำให้คุณทราบว่าตอนนี้ภายในองค์กรของคุณ
มีคลื่นใต้น้ำมากน้อยขนาดไหน
หากรู้ตัวว่าเป็นใครก็ควรไปเจรจาให้ชัดเจน
อธิบายทุกอย่างให้กระจ่าง
อย่าให้มีอะไรคาใจ
เพราะหากคุณมองข้ามหรือประมาท
จากคลื่นเล็กๆก็อาจกลายเป็นสึนามิ
โดยที่คุณไมรู้ตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : จุดจบลิโป้

บทที่ 15
จุดจบลิโป้
เมื่อผู้นำสูญเสียความน่าเช
ื่อถือ
 


สำหรับผู้นำจะสูญเสียสิ่งใดก็ได้
้แต่ห้ามสูญเสียความน่าเชื่อถือ
เพราะอะไรหรอครับ
ผู้นำสูญเสียทรัพย์เงินทองก็ยังหากลับมาได้
ผู้นำสูญเสียอำนาจหากชีวิตไม่สิ้นก็ยังแสวงหากลับมาได้
แต่ถ้าผู้นำสูญเสียความน่าเชื่อถือ
จนลูกน้องส่ายหน้าหมดศรัทธา
คงยากที่จะสร้างขึ้นมาใหม่

ลิโป้เป็นนักการเมืองและยอกนักรบที่ฝีมือกล้าแกร่ง
จนเรียกได้ว่าเยี่ยมยุทธ์ที่สุดในสามก๊ก
ทว่าด้วยความโหดเหี้ยมแบบไม่รู้กาลเทศะ
ทรยศได้แม้กระทั่งพ่อบุญธรร
สังหารผู้มีพระคุณแบบหน้าตาเฉย

ทำให้เขากลายเป็นบุคคลอันตราย
ในยามตกยากถึงมีแต่คนเหยียบย่ำซ้ำเติม
แต่ถึงกระนั้นบรรดาลูกน้องเหล่าขุนพล
ต่างไม่ทอดทิ้งลิโป้ ไม่ว่าจะตกยากลำบากเพียงใด
พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่กับเจ้านายที่คนทั้งแผ่นดินตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณ

ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงของเหล่าขุนพลว่า
เพราะอะไรถึงตามลิโป้ ร่วมเป็นร่วมตายกับคนเช่นนี
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจากการอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้คือ
ทุกคนศรัทธาในตัวลิโป้
อ.เล่าชวนหัวเคยกล่าวว่าคนเหล่านี้ศรัทธาในฝีมือการรบพุ่งของลิโป้
ที่เยี่ยมยุทธ์ประดุจเทพเจ้าแห่งสงคราม

รวมไปถึงการไม่เคยแบ่งเขาแบ่งเรา
ร่วมรบกับลูกน้อง
กินนอนกับลูกน้อง
ใกล้ชิดกับเหล่าขุนพลเหมือนพี่น้อง

ที่สำคัญลิโป้ไม่ใช่คนดีแต่ปาก
หรือสั่งให้คนอื่นไปรบแล้วตนเองกระดิกเท้าอยู่ที่บ้าน
ทว่าในสมรภูมิรบลิโป้จะเป็นผู้นำทัพที่องอาจ
เขาจะบุกเป็นคนแรก ตัดศีรษะข้าศึกเป็นคนแรก
ด้วยสิ่งเหล่านี้
ทำให้พวกเขาเลือกที่จะติดตามลิโป้

ต่อให้ลิโป้จะเลวร้ายกว่านี้พวกเขาก็ยังเดินตามเจ้านายคนนี้
เพราะพวกเขาศรัทธาในบางสิ่งที่อยู่เหนือคุณธรรม
(หากพวกเขายึดมั่นในคุณธรรมคงโบกมือลาลิโป้ไปนานแล้ว)
ความศรัทธาคือพลังที่จูงใจค

ทว่าในศึกเมืองแห้ฝือ ระหว่างลิโป้กับโจโฉ
ลิโป้ได้ทำลายความศรัทธาและความน่าเชื่อถือด้วยตนเอง
เขาเลือกที่จะเชื่อภรรยา
ไม่ยอมทำตามแผนการรบของตันก๋ง
ทำให้สถานการณ์การศึกย่ำแย่

เมื่อถูกลูกน้องถามแผนการบว่าจะทำเช่นไร
ลิโป้ก็กล่าวว่าข้า
"ไม่วิตกหรอหรอกเพราะข้ามีม้าเช็กเธาว์
และทวนเสี้ยวจันทร์ที่จะกวัดแกว่งตัดคอข้าศึก
ย่อมไม่มีใครทำอะไรข้าได้"

ไม่รู้ว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมตอนเมาหรือไม่ตัังใจ
แต่ก็ทำให้เหล่าขุนทหารสะอึ
ถึงความรับผิดชอบของเจ้านายที่จะเอาตัวรอดเพียงคยเดียว
ทำให้เหล่าขุนทหารไม่พอใจ

ยิ่งเมื่อลิโป้ลงโทษโบยเฮาเสงโทษฐานขัดคำสั่งห้ามดื่มสุรา
ก็ยิ่งทำให้เหล่าขุนทหารกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ
เนื่องจากเฮาเสงต้องการแค่จัดงานเลี้ยงฉลองเสริมขวัญทหารที่สร้างความชอบ
แต่ลิโป้ถึงกับสั่งเฆี่ยนอย่างไร้เหตุผล
ทำให้เฮาเสงซึ่งเป็นทหารเอกคนหนึ่งของลิโป้ต้องอับอาย

ประจวบกับที่ซงเหียนและงุยซก 2 อัศวินของลิโป้
ที่หมดศรัทธาและความน่าเชื่อถือในตัวลิโป้
เพราะลิโป้เปลี่ยนไป ไม่ใกล้ชิดลูกน้องและกลายเป็นคนโมโหร้าย
ไม่ฟังความคิดเห็นของใคร
เชื่อแต่ความเห็นของเมีย
ซึ่งลิโป้ที่พวกเขาเคยศรัทธาไม่ใช่คนแบบนี้

ผสานกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่
จนยากที่จะกอบกู้
ทำให้เฮาเสง ซงเหียนและงุยซก
ตัดสินใจแปรภักดิ์ไปอยู่กับโจโฉ
ด้วยการทรยศลิโป้
อาศัยช่วงที่เข้านายหลับแล้วเอาเชือกมัดตัว
จากนั้นจึงเปิดประตูเมืองให้โจโฉเข้ายึดเมือง

นำไปสู่กระบวนการพิพากษา
และลิโป้ก็ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต
ปิดฉากเทพสงครามอย่างน่าอนา

คุณผู้อ่านครับ
ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกคนต้องมี
เมื่อลูกน้องเชื่อมั่น เชื่อถือคุณ ในไม่ช้าความศรัทธาย่อมต้องเกิด
เมื่อเขาศรัทธาในคุณ การจะทำอะไรก็ง่าย
เพราะทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกัน

ทว่าหากหัวหน้าไม่สามารถสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้น
ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำแค่ในตำแหน่ง
ไม่ใช่ผู้นำที่ลูกน้องยอมรับด้วยความจริงใจและเต็มใจ
เขาเชื่อคุณ ไม่ใช่เพราะคุณเก่งกล้าสามารถ
แต่เขาเชื่อเพราะคุณมีอำนาจในตำแหน่ง
มีอำนาจเหนือเขาเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ผู้นำประเภทนี้จะทำอะไรก็ติดขัดไปหมด
เพราะลูกน้องไม่ได้เชื่อคุณด้วยใจ
เขายอมทำงานให้ก็ทำแบบผ่านๆแบบขอไปที
ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่
ผลงานที่ออกมาคงยากที่จะดี

ฉะนั้นการเป็นผู้นำต้องสามารถซื้อใจลูกน้อง
สร้างความศรัทธา ให้ลูกน้องเชื่อถือ
และนี่คืออีกภารกิจผู้นำที่ผู้นำทุกคนห้ามมองข้าม

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : หายนะของลิฉุย กุยกี

บทที่ 14
แรงหึงล่มรัฐบาล
เหตุหายนะของลิฉุย กุยกี


ตั๋งโต๊ะกับลิโป้แตกคอกันเพราะหญิงงามนามเตียวเสี้ยน
นำไปสู่แผนการลอบสังหารบิ๊กตั๋งผู้นำรัฐบาลทรราชย์
อองอุ้นและลิโป้ขึ้นมาตั้งรัฐบาลรักษาการ
แต่ยังไม่ทันคืนความสุขให้ประชาชน
ก็ถูกลิฉุย กุยกี สองสมุนคู่ใจอดีตบิ๊กตั๋ง
ยกทัพยึดเมืองหลวง
ลิโป้ที่ว่าแน่ยังแพ้ทีมเวิร์คของคู่นี้
จนต้องทิ้งเมืองหลวงหันไปพึ่งขุนศึกคนอื่น

ลิฉุย กุยกี 2 เกลอ ยิ่งปกครองประเทศ
ก็ยิ่งทำให้อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อน
แผ่นดินลุกเป็นไฟ เกิดโจรกบฎเต็มบ้านเมือง

จูฮี อดีตทหารเสือพิทักษ์ราชบัลลังก์ก็จนปัญญา
ที่จะทำลายไอ้คู่หูมหาภัยจึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้
ให้เรียกโจโฉ ยกทัพมาอารักขาปราบปราม2เกลอทรราชย์
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสว่าทุกวันนี้เรามีความทุกข์เป็นอันมาก แต่ออกปากมิได้ ถ้าได้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญมาล้างศัตรูเราเสียได้ เราจึงจะมีความสบาย
เมื่อฮ่องเต้ไฟเขียวจูฮีจึงรีบเขียนจดหมายส่งEMS ไปหาโจโฉ

ด้านเอียวปิวจึงทูลว่า เช่นนั้นข้าพเจ้ามีกลอุบายทอนกำลังไอ้สองทรราชย์
ให้มันฆ่ากันเองเมื่อโจโฉมา ก็ย่อมกวาดล้างเหล่าร้ายพวกนี้อย่างง่ายดาย
คุณผู้อ่านครับแผนเอียวปิวแสนจะพื้น
แต่มีแสนยานุภาพยิ่งกว่ากองทัพนับแสนนั่นคือ
"ใช้พิษรักแรงหึง" เพราะภรรยากุยกีขึ้หึงมาก
แม้กุยกีจะหน้าตาไม่ได้เรื่อง
แต่ก็หล่อเป็นเทพบุตรในสายตาเมีย

วันรุ่งขึ้น
เอียวปิวให้ภรรยาตนเอง ให้ไปเยี่ยมภรรยากุยกี
(หากนึกไม่ออกให้นึกถึงเวลาคุณหญิงคุณนายเมาท์กัน)
2 ภรรยาเสนาบดีเมาท์กันอย่างเมามัน
เมื่อคุยกันได้ที่ ภรรยาเอียวปิวจึงบอกกับภรรยากุยกีว่า
"คุณหญิงคะ ดิฉันได้ข่าววงในเกี่ยวกับท่านกุยกี
ตอนนี้เขาปิดกันให้แซดเลยว่าท่านกุยไปลอบรักใคร่กับภรรยาท่านนายกฯลิฉุย
ถ้าท่านนายกฯรู้เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ
คุณหญิงต้องปรามคุณสามีหน่อยนะคะ"

ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจ ด้วยพิษรักแรงหึง
ทำให้เชื่อว่าสามีตนเองไปเป็นชู้กับเมียเพื่อน
เพราะกุยกีชอบไปนอนค้างบ้านลิฉุยอยู่บ่อยๆ

"ที่คุณหญิงบอกดิฉันมาขอขอบคุณมากคะ
เดี๋ยดิฉันไปจะดึงหูไอ้แก่กุยกี สั่งสอนไอ้เฒ่าให้มันสำนึก
ไม่ให้มันไปบ้านท่านนายกฯลิฉุยอีก"

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ลิฉุยให้คนไปเชิญกุยกีมากินข้าวที่บ้านลิฉุย ภรรยากุยกีรู้จึงอ้อนวอนห้ามว่า
"ซึ่งท่านจะไปกินเลี้ยงบ้านลิฉุยนั้น
ดิฉันเห็นว่าไม่ควรเพราะท่านทั้งคู่ต่างเป็นใหญ่
หากไม่มีท่านลิฉุยย่อมลุแก่อำนาจ
กลัวว่าการไปครั้งนี้ลิฉุยจะวางยาพิษสังหารท่าน
แล้วดิฉันซึ่งเป็นผู้หญิงจะบ่ายหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ "

กุยกีสงสารภรรยาจึงไม่ได้ไป
ลิฉุยคอยอยู่จนเวลาเย็นมิได้เห็นกุยกีมา
จึงให้คนนำอาหารมามอบให้ถึงบ้าน
ซึ่งกุยกีนอนหลับอยู่จึงไม่รู้เรื่อง
่ภรรยากุยกีออกมารับโต๊ะไว้
แล้วเอายาพิษลอบใส่ลงไว้ในอาหาร

ครั้นกุยกี ตื่นขึ้น คนใช้ในเรือนจึงยกอาหารไปให้กุยกี
แล้วบอกว่าลิฉุยให้เอาโต๊ะนี้มาให
้ ภรรยาเห็นเช่นนั้นจึงห้ามกุยกกินแล้วบอกว่า
ของนี้ท่านอย่าเพิ่งกิน จงชันสูตรดูก่อน
แล้วโยนให้สุนัขกิน สุนัขก็ตาย กุยกีเห็นดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งออกจากเข้าเฝ้า
ลิฉุยจึงเชิญกุยกีไปปรึกษาราชการ ณ บ้าน
แล้วลิฉุยจึงชวน กุยกีกินโต๊ะ
มือ้นี้กุยกีจัดหนักเต็มที่
พอกลับถึงบ้านก็ปวดท้อง

ภรรยากุยกีจึงถามว่า เมื่อเวลาท่านออกจากเฝ้านั้นท่านไปไหน กุยกีจึงบอกว่าไปปรึกษาราชการบ้านลิฉุย ลิฉุยนั้นให้กินโต๊ะ ภรรยานั้นทำตกใจแล้วว่า
ดิฉันเห็นประจักษ์อยู่แล้วว่าเขาไม่ซื่อต่อท่าน
แล้วยังไปกินข้าวบ้านเขาอีก
สงสัยคงถูกวางยา
ว่าแล้ว ภรรยากุยกีจึงเอาอาจมละลายน้ำกรอกกุยกีเข้าไป
กุยกีก็อาเจียนออกมา ที่ปวดท้องก็คลาย
กุยกีจึงคิดโกรธลิฉุย ว่าเสียแรงเราได้ร่วมคิดจะทำการใหญ่ด้วยกัน แลลิฉุยมิได้ซื่อต่อเราคิดร้ายเราก่อนเราจำจะคิดฆ่ามันเสียให้ได้ แล้วก็จัดแจงทหารจะยกไปล้อมบ้านลิฉุย

ขณะนั้นมีผู้เอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุยว่า กุยกีจะยกมาทำร้าย ลิฉุยจึงว่าเราหาความผิดมิได
แต่ไอ้กุยกีเพื่อนชั่วบังอาจคิดจะมาทำร้ายกู
กูจะละไว้มิได้ จำจะยกไปจับกุยกีฆ่าเสียให้ได้ก่อน แล้วก็กะเกณฑ์ทหารยกไปพบทัพกุยกียกมาทางริมกำแพงเมือง ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ แลทหารทั้งสองฝ่ายนั้น ก็ช่วงชิงทรัพย์สินของอาณาเขตประชาราษฎร

คุณผู้อ่านครับ
เรื่องราวตอนนี้ถือว่าเป็นอะไรที่แสนจะพื้น
เพราะพิษรักแรงหึงที่ไร้สติ
ทำให้ภรรยากุยกีทำอะไรแบบโง่ๆ โดยไม่ยั้งคิด
เรื่องราวแบบนี้เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเบื้องหลังความสำเร็จของสามีย่อมต้องมีภรรยาช่วยเหลือ

ภรรยาคือหุ้นส่วนชีวิต
ชีวิตจะสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของภรรยา
จริงอยู่ภรรยาไม่ใช่เลขานุการ(หรือบางคนอาจจะใช่)
ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
แต่เธอจะเป็นคู่คิด มิตรคู่เรือน
หากเธอช่วยเหลือสนับสนุนช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ความสำเร็จย่อมจะเกิด

ทว่าผู้นำหลายคนมีปัญหาเพราะภรรยาก่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาทิ
สามีเป็นผู้นำที่ดี ไม่ติดสินบาทคาดสินบน
แต่ภรรยาเป็นคนโลภ
เวลาที่ใครจะมาติดสินบนก็ย่อมจะผ่านเข้ามาทางหลังบ้าน
ภรรยาอาศัยความใกล้ชิดเป่าหูสามี
เพื่อให้เห็นดีเห็นงามกับคนที่มาติดสินบน
จนนำไปสู่ความผิดพลาด
พอเกิดปัญหาก็นำไปสู่กระบวนการสืบสวน
สุดท้ายคุณสามีก็ตกร่างแหเพราะสินบนที่ภรรยารับเอาไว้

บางกรณีลูกน้องของสามีบางคนฉลาด
พยายามสืบว่าภรรยาเจ้านายชอบอะไร
ก็มักจะมีของฝากมาให้เพื่อหวังเป็นคนโปรด
ต้องการให้ภรรยาเจ้านายและช่วยชื่นชมตนเองให้เจ้านายฟัง
เพื่อหวังก้าวกน้าทางลัด
ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็เคยมีมาแล้วในหลายๆองค์กร

เรื่องแบบนี้เป็นความปวดศรีษะของผู้นำ
ที่ไม่ควรมองข้ามเพราะบางครั้งคนใกล้ตัวนี่แหละที่ทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาด

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : อองอุ้น พ่ายเพราะไม่ยืดหยุ่น

บทที่ 13
อองอุ้น พ่ายเพราะไม่ยืดหยุ่น
อวสานผู้นำไม้บรรทัด


การกำจัดทรราชย์อย่างตั๋งโต๊ะ
ลำพังเพียงแค่ลิโป้และหน่วยรบของเขา
คงไม่อาจกำจัดตั๋งโต๊ะได้ทันที
และอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉะนั้นแผนทุกอย่างต้องสั้น กระชับและรัดกุมที่สุด
แน่นอนว่าคนที่จะวางแผนสังหารผู้นำในระดับนี้ต้องไม่ธรรมดา
มีสติปัญญาชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่งและคนผู้นั้นก็คือ "อองอุ้น"
พ่อบุญธรรมของเตียวเสี้ยน
ผู้วางแผนยุแหย่ให้ลิโป้เกลียดชังตั๋งโต๊ะ

Step แรกผ่านไปอย่างงดงาม
ในการทำให้พ่อลูกบุญธรรมผิดใจกัน
ด้วยพิษรักแรงหึง
จนนำไปสู่ชนวนสังหารผู้นำประเทศอย่างตั๋งโต๊ะ

Step 2 คือต้องดึงลิซกทหารคนสนิทของตั๋งโต๊ะมาเป็นพวก
ซึ่งลิโป้อาสาไปทำงานนี้ซึ่งลิซกให้ความร่วมมือดีมาก
เนื่องจากลิซกโกรธแค้นตั๋งโต๊ะที่ยอม "ปรับซี "หรือเลื่อนตำแหน่ง
และเพิ่มโบนัส ทั้งที่ตนมีผลงานมากมาย จึงให้ความร่วมมือกับลิโป้เต็มที่

Step 3. ดึงตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงให้ได้
เพราะตั๋งโต๊ะพำนักในวังส่วนตัวที่เมืองเม่ยอู่
ซึ่งเป็นฐานกองกำลังหลักของตั๋งโต๊ะ
ที่มีกองทัพส่วนตัวและเสบียงอาหารที่สามารถอยู่กินได้เป็นปี
แต่อองอุ้นก็ใช้ข้ออ้างว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้จะสละราชบัลลังก์
ให้ตั๋งโต๊ะขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ทำให้ตั๋งโต๊ะดีใจเป็นอย่างยิ่ง เตรียมหาฤกษ์ยามที่เหมาะสม
ในการขึ้นครองราชย์

Step 4. เมื่อตั๋งโต๊ะเข้าวังก็ให้เข้าไปเฉพาะคนสนิท
ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นลิโป้และลิซก
จากนั้นคงไม่ต้องบอกว่าตั๋งโต๊ะจะถูกเสียบกี่แผล

นี่คือแผนลอบสังหารผู้นำของอองอุ้น
ที่ทำให้เขาสามารถยึดอำนาจการปกครองจากตั๋งโต๊ะ
โดยเสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด

แผ่นดินดูเหมือนจะสงบสุข
ทว่าอองอุ้น ผู้กุมอำนาจชะตากรรมแผ่นดิน
เป็นพวกข้าราชการประเภทคงเส้นคงวามากเกินไป
ไม่รู้จักที่จะยืดหยุ่น ผ่อนปรน
ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด

กรณีชัวหยง ขุนนางในราชสำนักไปร้องไห้อาลัยศพตั๋งโต๊ะ
เนื่องจากระลึกถึงในอดีตที่ตั๋งโต๊ะช่วยผลักดันตน
ให้กลับมาทำงานเขียนประวัติศาสตร์โดยไม่กีดกัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ตนถูกขุนนางคนอื่นและ10 ขันทีรังแก
กีดกันไม่ยอมให้เขียนประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา
อองอุ้นไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ทำให้ชัวหยงถูกประหารชีวิต

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเมาท์กันทั้งเมืองหลวง
ถึงความใจแคบของอองอุ้นที่ปัดมิตรไปเป็นศัตรู
และการลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผลของผู้นำประเทศคนใหม่

กรณีลิฉุยเขียนจดหมายอภัยโทษถึงอองอุ้นว่า
ลิฉุยกุยกีและกองกำลังส่วนอื่นของตั๋งโต๊ะยอมวางอาวุธ
ขอยอมแพ้ภายใต้เงื่อนไขที่จะขอทำงานรับใช้ชาติเหมือนเดิม

อองอุ้นจึงโกรธมาก ประกาศกวาดล้างสมุนของตั๋งโต๊ะ
จนทำให้สุนัขจนตรอกอย่างลิฉุย กุยกี ระดมพลขึ้นมา
ยกทัพบุกเมืองหลวงและสามารถยึดเมืองหลวงได้สำเร็จ

ลิโป้และกองกำลังของเขาสามารถหนีไปได้
ส่วนอองอุ้นไม่ยอมหนี ขออยู่เมืองหลวงอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้
สุดท้ายก็ถูกลิฉุย กุยกี สังหาร
ราชวงศ์ฮั่นจึงต้องกลับมามืดมนอีกครั้งเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของอองอุ้น

คุณผู้อ่าน
หากมองให้ดีจะพบว่า
หากอองอุ้นต้องการจะสังหารลิฉุยและพรรคพวก
ก็ไม่จำเป็นต้องแหวกหญ้าให้งูตื่น
แค่ยอมรับการขออภัยโทษจากลิฉุยและสมุนของตั๋งโต๊ะ
จากนั้นเมื่อคนเหล่านี้ตายใจ
ก็อ้างพระบรมราชโองการเรียกเข้าเฝ้า
หรือย้ายเข้ามาทำงานในเมืองหลวง
แล้วค่อยหาทางกำจัดก็หมดเรื่อง
ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือ

ผู้นำอย่างอองอุ้นมีเยอะครับ
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนดีที่ไม่ยืดหยุ่น
พวกเขามักจะมองว่าคนอื่นที่แตกต่างกับเขา
เป็นคนมีปัญหาหรือเป็นคนผิด
ทั้งที่วิธีการมีตั้งหลายแบบ

กลายเป็นคนEQ. ต่ำเพราะยึดหลักการมากเกินไป
จนละเลยความรู้สึกของคนอื่น
ทำให้ลูกน้องไม่ค่อยชอบ
เนื่องจากบริหารทุกอย่างต้องถูกต้องเป็นไปตามหลักการ
ใครผิดแนวทางถือว่าไม่ถูกต้อง
กลายเป็นผู้นำไม้บรรทัด

ผู้นำแบบนี้
ไม่รู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบา
ไม่รู้ว่าจังหวะไหนควรช้าหรือจังหวะไหนควรเร็ว
ทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ลืมไปว่าแต่ละคนแตกต่างกัน
ผลที่ออกมาย่อมแตกต่างกัน
นี่คือจุดอ่อนที่อยู่ในจุดแข็ง
ของผู้นำประเภทนี้

แต่ก็ใช่ว่าพวกไม้บรรทัดจะปรับตนเองไม่ได้
หากเขายอมรับฟังความคิดของคนอื่นให้มาก
ยอมรับในความแตกต่างสักหน่อย
ลดหลักการ หันมาเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นอีกสักนิด
ผู้นำแบบนี้จะกลายเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที
คุณผู้อ่านว่าจริงไหม

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เล่าปี่พลาดท่าดึงลิโป้เป็นแนวร่วม

บทที่ 12
เล่าปี่พลาดท่าดึงลิโป้เป็นแนวร่วม
ความผิดพลาดอันเกิดจากการคบมิตรชั่ว


มาถึงตอนนี้เราต้องมาทบทวนวีรกรรมที่โลกไม่ลืมของลิโป้
1.เขาปาดคอเต๊งหงวนพ่อบุญธรรม
เพื่อนำศีรษะไปเป็นของกำนัลในการย้ายค่าย
2.เขาใช้ทวนแทงเข้าซอกคอตั๋งโต๊ะพ่อบุญธรรมคนที่2
จนดับดิ้นสิ้นชื่อใต้คมทวนเพื่อกำจัดศัตรูหัวใจ
หรืออธิบายง่ายๆคือชิงเมียพ่อบุญธรรมมาเป็นของตนเอง

2 วีรกรรมวีรเวรที่ลิโป้ทำ
ช่างตอกย้้ำความเป็นยอดคนจนกลายเป็นอมนุษย์ของลิโป้
ฉะนั้นในยามตกยากลิโป้จึงไร้ที่พึ่ง อย่างไม่ต้องสงสัย

ในห้วงเวลานั้นเล่าปี่ได้ปกครองเมืองชีจิ๋ว
เริ่มที่จะตั้งตัวได้และขณะนั้นเล่าปี่กำลังต้องการคนมาช่วย
ประจวบกับที่ลิโป้กำลังต้องการหาที่พักพิง
ตันก๋งกุนซือลิโป้จึงเดินทางไปขอความเมจตาจากเล่าปี่

ทุกคนในเมืองทัดทานเล่าปี่
ทั้งกวนอู เตียวหุย บิต๊ก กันหยง ฯลฯ
แต่เล่าปี่ไม่เชื่อเพราะต้องการดึงลิโป้มาเป็นแนวร่วม
เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านรัฐบาลโจโฉ

วันหนึ่งในงานเลี้ยงลิโป้หลุดปากมาว่า
"ที่น้องได้ครองเมืองนี้เพราะพี่ช่วยตีเมืองกุนจิ๋ว
โจโฉจึงรีบยกทัพมารบพุ่งกับพี่"
บังเอิญเตียวหุยน้องสามแห่งสวนดอกท้อ
ซึ่งเกลียดลิโป้มากได้ยินเข้าจึงรุกขึ้นมาชี้หน้าด่าลิโป้และจะเข้าทำร้าย

เล่าปี่จึงตัดปัญหาด้วยการย้ายลิโป้ไปพักที่เมืองเสี่ยวพ่าย
จนกระทั่งโจโฉมีหนังสือลับให้กำจัดลิโป้ เพื่อแสดงจุดยืนของเล่าปี่
ทว่าเล่าปี่ไม่ทำตามทั้งยังเอาหนังสือฉบับนั้นให้ลิโป้อ่าน
เพื่อหวังซื้อใจยอดขุนทวน
เล่นเอาลิโป้ซาบซึ้งมากอ่านไปร้องไห้ไป

โจโฉเห็นแผนใช้ไม่ได้ผล
จึงให้คนถือพระบรมราชโองการรับสั่งให้เล่าไปรบกับอ้วนสุด
เล่าปี่ขัดพระบรมราชโองการจึงต้องทำตาม
โดยใ้ห้เตียวหุยเฝ้าเมือง
ตัวเขาและกวนอูไปออกศึก

สุดท้ายเตียวหุยจัดงานเลี้ยงจนเมามาย
โจป้าพ่อตาลิโป้ที่ถูกเตียวหุยทำโทษ
จึงเปิดประตูเมืองให้ลิโป้ยกทัพเข้ายึดเมือง
ตอบแทนบุญคุณเล่าปี่อย่างถึงใจ

คุณผู้อ่านครับคราวก่อนผมเคยเล่าถึงความขี้ระแวงของเล่าปี่
แต่ครั้งนี้ผมต้องการชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาด
ในการรับคนอย่างลิโป้มาเป็นแนวร่วม
อะไรมันมาดลบันดาลใจให้คนดีอย่างเล่าปี่คบมิตรชั่ว
ที่คนทั้งแผ่นดินสาปแช่งอย่างลิโป้

อันดับแรกต้องเข้าใจว่า
ผู้นำที่สุภาพและอ้อนน้อมถ่อมตนอย่างเล่าปี่
ทว่าลึกๆเป็นคนดื้อและเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
บางทีถ้าเล่าปี่เป็นคนที่ฟังคนอื่นมากกว่าฟังเสียงในใจตน
เขาอาจจะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องไปเชิญขงเบ้ง

ทุกคนในเมืองทัดทานไม่ให้รับลิโป้เข้าเมือง
เพราะประวัติของมันชั่วร้ายเกินกว่าจะร่วมงานได้
แต่เล่าปี่มองเรื่องเดียว
คือมองแต่ "โอกาส" ที่จะสร้างแนวร่วมที่เข้มแข็ง
ในการรับมือกับโจโฉ
ไม่ได้มองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
เพราะเล่าปี่มีความเชื่อว่า"ศัตรูของศัตรูคือมิตร"
(เพราะลิโป้และเล่าปี่ต่างมีศัตรูคนเดียวกันคือโจโฉ)
และตัวเขาก็น่าจะใช้คุณธรรมขัดกล่อมลิโป้ได้
จึงให้โอกาสกับลิโป้

ในขณะที่ขุนศึกคนอื่นมองเห็นความเสี่ยงมากกว่าโอกาส
เพราะที่ผ่านมาลิโป้สร้างผลงานการรบได้อย่างโชกโชน
ฝีมือการรบเป็นอันดับ 1 แต่เป็นคนเลวโดยสันดาน
เนรคุณอกัตญญู กับพ่อบุญธรรมมันอย่างสังหารได้
นับประสาอะไรกับเจ้านาย

เล่าปี่มองข้ามเรื่องนี้
เพราะอะไรผมถึงยืนยันเช่นนั้น
คุณผู้อ่านครับ
หากไม่เกิดเหตุวิวาทระหว่างเตียวหุยกับลิโป้
เล่าปี่ก็คงไม่ย้ายลิโป้ไปเมืองเสี่ยวพ่าย
และยังให้อยู่ใกล้ชิดในเมืองชีจิ๋ว
นั่นแสดงว่าเล่าปี่มองข้ามสันดานโหดของลิโป้

ในชีวิตจริงเรื่องแบบนี้มีเยอะครับ
ที่ผู้นำให้โอกาส ให้ความเมตตาต่อลูกน้อง
ที่มีปัญหาเพราะเห็นว่าเขาสามารถขัดเกลาแก้ไขได้
แต่ก็ไม่สำเร็จ
พอผลการประเมินออกมาธรรมดา
ได้โบนัสน้อยปรับเงินเดือนน้อย
ก็เอาเจ้านายไปนินทาลับหลัง
หารู้ไม่ว่าตนเองอยู่รอดได้เพราะเจ้านายคอยช่วยเหลือให้โอกาส
แต่สิ่งที่หัวหน้างานได้รับคือการถูกลูกน้องดิสเครดิต

โอกาสมีให้กับทุกคน
แต่อย่าให้กับคนใดคนหนึ่งจนพร่ำเพรื่อ
เพราะเขาจะไม่เห็นคุณค่าของโอกาส
และสุดท้ายคุณอาจจะเป็น "ไอ้โง"่ ในสายตาของคนอื่น

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : โจโฉหวิดดับ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

บทที่ 11
โจโฉหวิดดับ
เมื่อเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด


"ดับอนาถล้างครอบครัวพ่อนายพลพิทักษ์บูรพา"

กลายเป็นคดีดังสะเทือนแผ่นดินมังกรในยุคสามก๊ก
เพราะนายพลพิทักษ์บูรพาหาใช่ใครอื่นไกลนั้นคือ"โจโฉ"

คดีนี้คนลงมือสังหารโหดคือลูกน้องโตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว
ทว่าโตเกี๋ยมไม่สามารถจับกุมคนผิดมาลงโทษได้

โจโฉโกรธแค้นที่บิดาถูกสังหาร
จึงเปิดศาลเตี้ยพิพากษา
ประหารทุกชีวิตในเมืองชีจิ๋ว
เขาสั่งระดมพลทุกกรมกองเปิดสงครามล้างแค้น
(บางกระแสบอกว่าต้องการขยายดินแดน)

ในประวัติศาสตร์ได้เขียนไว้ว่า
โจโฉบอกกับทุกคนในครอบครัวว่า
หากศึกนี้พลาดท่าและตัวเขาเองต้องตาย
ขอให้ทุกคนไปอาศัยอยู่กับเตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว

เตียวเมาเป็นเพื่อนของโจโฉและอ้วนเสี้ยวมาตั้งแต่เด็ก
ในศึก 18 หัวเมืองโค่นทรราชย์ตั๋งโต๊ะ
เตียวเมาดันไปกล่าวว่าตำหนิอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวโกรธมากจึงชักกระบี่หมายจะสังหารไอ้ขุนศึกปากปีจอ
แต่โจโฉมาห้ามเพราะเตียวเมาเป็นเพื่อนของโจโฉ
แม้จะปากน้องหมาแต่เขาก็เป็นคนซื่อตรงและมีฝีมือ
ทำให้เตียวเมารักและตื้นตันในบุญคุณครั้งนั้น

มิตรภาพเพื่อนทั้งสองผูกพันกันมาดีโดยตลอด
จนกระทั่งตันก๋ง เพื่อนคนหนึ่งของเตียวเมา
ที่เกลียดโจโฉมาก
เห็นเป็นโอกาสดีที่จะกำจัดโจโฉ
จึงมาเกลี้ยกล่อมให้เตียวเมาให้ทรยศโจโฉว่า

"นี่เป็นโอกาสที่ดีเนื่องจากกองกำลังหลักของโจโฉ
กำลังเปิดฉากลุยกับทหารชีจิ๋ว
ภายในเมืองกุนจิ๋วมีกำลังน้อยมาก
หากท่านต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ต้องฉวยโอกาสนี้
ที่สำคัญฝ่ายเรายังมียอดขุนทวนอย่างลิโป้
งานนี้ถ้าท่านไม่ลงมือคงยากทำการใหญ่สำเร็จ"

เตียวเมามิตรรักแทนที่จะคิดถึงบุญคุณแต่หนหลังของโจโฉ
กลับเห็นดีเห็นงามกับตันก๋ง สนับสนุนทุนรอนทุกอย่างให้กับลิโป้
แต่งตั้งลิโป้เป็นแม่ทัพและตั้งให้ตันก๋งเป็นเสนาธิการ

ด้วยฝีมือการรบของลิโป้และสติปัญญาของตันก๋ง
จึงทำให้พวกเขาสามารถยึดเมืองกุนจิ๋วอย่างง่ายดาย
พร้อมทั้งใช้อำนาจเจ้าเมืองกุนจิ๋วระดมกองทัพ
เตรียมบุกขยี้3 หัวเมืองที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์

เป็นอันว่าเมืองกุนจิ๋วของโจโฉที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง
กลับถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจนเกือบหมดเหลือแค่เพียงสามเมือง
ทำใหเขตปกครองของโจโฉลดลงอย่างมากมาย

คุณผู้อ่านครับ
คนอื่นเป็นศัตรูหรือคู่แข่งนับเป็นเรื่องปกติ
แต่คนที่เรารักและไว้ใจ มาหักหลังและประกาศตัวเป็นศัตรู
อันนี้เกินคำบรรยาย
ใครเป็นโจโฉก็คงจะโกรธและแค้นเตียวเมาอย่างเกินจะให้อภัย

ในชีวิตจริงเหตุการณ์"เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด"
เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เพราะผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร
เพื่อนรักกันมานานทว่าแตกหักกันก็เพราะผลประโยชน์ก็มีตั้งหลายคน

ความผิดพลาดของโจโฉครั้งนี้
นับเป็นกรณีศึกษาที่ไม่ควรมองข้าม
ของผู้นำหรือนักบริหารที่ให้น้ำหนักกับมิตรภาพหรือเชื่อใจคนอื่นมาก
จนบางครั้งประมาทและนำไปสู่ความล้มเหลว

การเชื่อใจ เป็นสิ่งที่ดีครับ
การไว้ใจ ก็เช่นกัน
แต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขตและมีการเผื่อใจผิดหวัง
เพราะบางครั้งอานุภาพของผลประโยชน์มันรุนแรง
จนสามารถจูงใจให้คนที่เราไว้ใจทั้งเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง
หันหลังให้กับเราโดยไม่เหลือไมตรี
หรือทำให้ศัตรูที่คู่แข่งหันมาจับมือเป็นไมตรีกับเรา

แต่จะให้ไม่ไว้ใจใครเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะเราต้องทำงานกับคนอื่น
ฉะนั้นการจะไว้ใจใครจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่ต้องเผื่อใจผิดหวังเอาไว้บ้าง
และอย่าทุ่มให้กับคนๆเพียงคนเดียว
ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง
เพราะหากเกิดอะไรที่ไม่คาดฝัน
คนที่ลำบากจะเป็นตัวคุณ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ความพินาศของตั๋งโต๊ะ

บทที่ 10
ความพินาศของตั๋งโต๊ะ
เมื่อผู้นำมองข้ามประวัติคนใกล้ชิด


เมื่อวานผมได้เขียนถึงมรณกรรมของเต๊งหงวน
หากวันนี้ไม่กล่าวถึงตั๋งโต๊ะ
คงยากที่จะต่อจิกซอว์ความเลวทรามของยอดขุนทวนอย่างลิโป้ไม่ได้
เพราะตั๋งโต๊ะคือพ่อคนที่สามของลิโป้

ภายหลังจากที่ลิโป้หิ้วหัวเต๊งหงวนพ่อบุญธรรมคนที่2
ไปเป็นของฝากให้กับตั๋งโต๊ะเพื่อยืนยันความภักดี
ตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้มาเป็นแนวร่วมก็ดีใจ ถึงกับกล่าวว่า

"ตัวเราอุปมาเหมือนนาแล้งที่คอยฝน
เมื่อได้ท่านมาก็เหมือนหนึ่งฝนทิพย์ต่อชีวิตให้รอด"

ลิโป้ได้ฟังคำหวานของตั๋งโต๊ะก็รีบคุกเข่าขอบคุณในไมตรี
และเพื่อหวังเอาใจให้เป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจในเมืองหลวง
จึงรับลิโป้เป็นบุตรบุญธรรม
โดยลืมไปว่าจุดจบเต๊งหงวน
พ่อบุญธรรมของลิโป้เป็นเช่นไร
ความผิดพลาดประการแรกได้เริ่มขึ้นจากจุดนี้

จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ลิโป้เป็นองครักษ์คนสนิท
คุณผู้อ่านครับตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่เต๊งหงวนได้มอบให้ลิโป้
ก่อนที่เขาจะถูกลูกบุญธรรมปาดคอ
ตวามผิดพลาดประการสองคือการเอางูเห่ามาไว้ใกล้ตัว

ทำไมทั้งตั๋งโต๊ะและเต๊งหงวน
ช่างคิดเหมือนกันเช่นนี้
แสดงว่าทั้งสองคนมีมุมมองในการบริหารคนละม้ายกัน
จึงจัดวางตำแหน่งลิโป้เหมือนกัน

จนกระทั่งอองอุ้น. ขุนนางชี้นผู้ใหญ่ในราชสำนักฮั่น
ทนพฤติกรรมความป่าเถื่อนของตั๋งโต๊ะไม่ไหว
จึงใช้อุบายยุให้ลิโป้แตกหักกับตั๋งโต๊ะ
ด้วยกลสาวงาม
หลอกล่อให้ลิโป้หลงรักเตียวเสี้ยน(ลูกบุญธรรมของอองอุ้น)
แล้วยกเตียวเสี้ยนให้ไปแต่งงานกับตั๋งโต๊ะ
เพื่อให้เกิดชนวนพิษรักแรงหึง

ส่งผลให้ลิโป้และตั๋งโต๊ะแตกคอกัน
จนนำไปสู่แผนการสังหารตั๋งโต๊ะ
แน่นอนว่าคนที่ลงเอาทวนแทงซอกคอตั๋งโต๊ะ
จนลงไปดับอนาถ คาถนนเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ย่อมไม่ใช่ใครอื่น นอกจากลิโป้ ลูกบุญธรรมของตนเอง

คุณผู้อ่านครับ
มรณกรรมของเต๊งหงวน
เกิดจากความโลภของลิโป้
ที่อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
จนกล้าสังหารพ่อบุญธรรม

แต่ความพินาศของตั๋งโต๊ะ
เกิดจากพิษรักแรงหึง
และแรงยุจากอองอุ้นที่ให้กำจัดตั๋งโต๊ะ
เพื่อพิทักษ์ราชวงศ์ฮั่นซึ่งเป็นแรงจูงใจอันแสนจะท้าทาย
(แต่ประเด็นหลักคือต้องการทำลายศัตรูหัวใจ)

แม้สาเหตุจะแตกต่างแต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
ประเด็นที่น่าศึกษาคือทำไมตั๋งโต๊ะถึงกล้าที่จะกล้าเอางูเห่ามาแขวนคอ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีศึกษาของเต๊งหงวนให้ดูเป็นตัวอย่าง
จะบอกว่าบิ๊กตั๋งไม่รู้เรื่องของเต๊งหงวนเลยก็คงไม่ใช่

คำตอบของประเด็นนี้คือ
ความมั่นใจในตนเองที่จะควบคุม
หรือเลี้ยงคนแบบนี้ให้เชื่อง
พูดง่ายๆคือ ผู้นำประเภทนี้เชื่อว่า
ตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้
แต่เขาลืมไปว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้น

เพราะบางคนมีสันดานที่ไม่เอื้อต่อการเป็นคนดี
บางคนเห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าสิ่งอื่น
คนอย่างลิโป้ก็เช่นกัน
เลี้ยงให้ดี ดูแลให้เปรม อย่างไร
ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
เพราะเนื้อแท้ของคนเหล่านี้ชั่วร้ายจนยากที่จะหยั่งถึง

ฉะนั้นการจะรับใครเข้ามาในองค์กร
อย่ายึดแค่หลักความสามารถเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องตรวจสอบประวัติให้ชัดเจนว่ามีภูมิหลังเช่นไร
เป็นคนดีจริงหรือดีเพราะคำลือ
สาเหตุที่ออกจากที่ทำงานเก่าเพราะอะไร
เคยมีประวัติการโกงหรือคอรัปชั่นมาหรือเปล่า

ผมมั่นใจว่าเราสามารถฝึกให้คนดี (ที่ไม่เก่ง)
กลายเป็นคนเก่งและดีได้อย่างไม่ยาก

แต่เราไม่สามารถฝึกคนเก่ง ที่สันดานไม่ดี
มาเป็นคนดีที่ซื่อสัตย์ และภักดีต่อองค์กรได้
เพราะบ่อยครั้งที่ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร
เนื่องจากคนจำนวนมากมีความโลภเป็นที่ตั้ง
ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง
ทำให้คุณตอบโจทย์ความต้องการของเขาไม่ได้
และสุดท้ายก็จะตามมาด้วยการคอรัปชั่นในองค์กร

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : มรณกรรมของเต๊งหงวน

บทที่ 9
มรณกรรมของเต๊งหงวน
สิ้นชีพเพราะคนเลวใกล้ตัว


เวลาที่เราจะใช้งานใครต้องประกอบด้วยหลัก 3 ใจ
1. เชื่อใจ
2. ไว้ใจ
3. มั่นใจ

จากนั้นจึงใช้หลัก
put the right man on the right job
หรือใช้คนให้ถูกกับงาน

เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว ก็ใช้หลักการเหล่านี้ในการใช้คน
เขาจึงใช้ลิโป้ซึ่งเป็นลูกบุญธรรม มาเป็นองครักษ์ประจำตัว

ตั๋งโต๊ะ ยกพลเข้ายึดพระนครลกเอี๊ยง
หาเหตุปลดพระเจ้าฮั่นจาวตี่
และจะชูตันหลิวอ๋องขึ้นเป็นกษัตริย์
จึงจัดประชุมครม.ลับที่จวนของตนเอง
ซึ่งแน่นอนว่าเต๊งหงวนต้องมาร่วมประชุมแน่

พอเจ้าภาพหารือเรื่องการปลดพระเจ้าแผ่นดิน
สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าขุนนาง
แต่ทุกคนก็ไม่กล้าคัดค้าน
ยกเว้นเต๊งหงวนที่กล้าขากถุย
ความคิดระยำ ต่ำช้าของตั๋งโต๊ะ
โดยไม่เกรงกลัวความตาย

ตั๋งโต๊ะชักกระบี่หมายจะไปเสียบพุงเต๊งหงวน
แต่ลิยู กุนซือตั๋งโต๊ะรีบห้าม
เพราะกลัวว่าคนโดนเสียบจะเป็นเจ้านายตนเอง
เนื่องจากลิโป้องครักษ์เต๊งหงวนยืนคุมเชิง กระชับทวนมั่น
เรื่องราววันนั้นก็จบลง

วันรุ่งขึ้นเต๊งหงวนส่งลิโป้ลูกบุญธรรมไปวาดลวดลายเพลงทวน
บุกตีค่ายทหารของตั๋งโต๊ะเพื่อเป็นการปรามไอ้กังฉินที่คิดปลดฮ่องเต้
ตั๋งโต๊ะแทบเอาตัวไม่รอด
จึงรีบประชุมกับกุนซือที่จะหาทางดึงลิโป้มาเป็นพวก

ลิซก นายทหารคนหนึ่งของตั๋งโต๊ะ
ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับลิโป้จึงขออาสา
ไปเกลี้ยกล่อมลิโป้ถึงในค่าย
โดยใช้ม้าเซ็กเธาว์ ,ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ มอบให้กับลิโป้
พร้อมบรรยายคุณความดีของตั๋งโต๊ะ
เพื่อหวัง "ซื้อ" ลิโป้ให้มาอยู่ด้วย

สุดท้ายลิโป้เห็นว่าอยู่กับตั๋งโต๊ะแล้วรุ่ง มีอนาคตที่ไกล
จึงตัดสินใจย้ายพรรค ภายในคืนนั้น
แต่ก่อนจะย้ายพรรคก็ต้องมีของกำนัลไปให้หัวหน้าพรรค

ลิโป้จึงเดินไปหาเต๊งหงวนที่กระโจม
โดยที่ไม่โดนตรวจค้นเพราะเขาเป็นหัวหน้าองครักษ์
เมื่อเห็นหน้าพ่อบุญธรรม
จึงกระชากกระบี่ปาดคอผู้มีพระคุณ
ก่อนจะหิ้วศรีษะพ่อบุญธรรมไปเป็นของกำนัลแด่ตั๋งโต๊ะ

โศกนาฎกรรมของเต๊งหงวนให้อะไรกับเราบ้าง
ดูผิวเผินก็คือเต๊งหงวนใช้คนผิด
แต่ลองประเมินให้ดีตามหลัก 3 ใจ
1. เชื่อใจ
2. ไว้ใจ
3. มั่นใจ

ตามด้วย put the right man on the right job
หรือใช้คนให้ถูกกับงาน

เต๊งหงวนมีความผิดพลาดตรงไหน

ลิโป้เป็นลูกบุญธรรมหากไม่เชื่อใจ ไว้ใจและมั่นใจ
คนอย่างเต๊งหงวนจะกล้ารับเป็นลูกบุญธรรมหรอครับ
นั่นแปลว่าหลัก 3 ใจ ผ่าน

หลักต่อมา put the right man on the right job
หรือใช้คนให้ถูกกับงาน
ลิโป้เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นคนที่ผ่านกระบวนการ 3 ใจ
ตำแหน่งองครักษ์จึงเหมาะกับเขามากที่สุด

ในเมื่อถูกต้องตามหลักการ
แล้วทำไมศีรษะของเต๊งหงวนจึ
กลายเป็นของกำนัลล่ะ

ประเด็นสำคัญที่ผู้นำหรือผู้บริหารมองข้ามคือ
"สันดานคน"
ขอโทษที่ไม่สุภาพครับ
แต่เป็นเรื่องจริงที่เราไม่ควรมองข้าม
เพราะหลักการทำให้เราเห็นคนแต่ภายนอก
ดูแล้วน่าไว้ใจ เชื่อใจ วางใจ สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างได้ครับ

ยุคนี้เรียกว่า"สร้างภาพ" อยากให้ดูดีแค่ไหนก็สร้างภาพ
แต่เบื้องหลังหนี้สินเป็นล้าน แต่มาคุยเรื่องความรวย
บางคนเลวทรามก็สร้างภาพให้ดูดีเหมือนลิโป้ได้ครับ

ทว่าเราไม่เคยเห็นเนื้อแท้หรือแก่นของคนเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไร
ฉะนั้นสิ่งสำคัญของผู้นำจึงไม่ใช่แค่หลักการ
แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงศิลปการอ่านคน

เจียงไท่กง ขุนนางผู้สถาปนาราชวงศ์โจว
และผู้เขียนพิชัยสงคราม6 ยุทธวิธี(ลิ่วเทา)
ได้เขียนถึงวิธีการอ่านคนหรือทดสอบเพื่อดูความจริง8 วิธี

1. ตั้งคำถามสังเกตวิธีการตอบ
2. ถามให้ถึงที่สุดเพื่อดูวิธีการแก้ไข
3. ใช้สายลับตีสนิท เพื่อดูความจริงใจ
4. ตั้งคำถามแปลกๆเพื่อดูเจตนา
5. ใช้เงินทองเข้าล่อเพื่อดูความโลภ
6. มอบสาวงามเพื่อดูความมั่นคงของจิตใจ
7. สร้างสถานการณ์คับขันเพื่อดูความกล้า
8. มอมด้วยสุรา เพื่อดูกริยาและสิ่งที่อยู่ในใจ

(การอ่านคนดังกล่าวจากจากหนังสืออ่านคนทะลุใจ)

นี่ศาสตร์แห่งการอ่านคนของปราชญ์จีนโบราณ
เพื่อให้เรามองเห็นถึงจิตใจของอีกฝ่าย
เพื่อที่จะได้ไม่ผิดพลาดเหมือนเต๊งหงวน

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เตียวหุยเมาจนเสียเมือง

บทที่8
เตียวหุยเมาจนเสียเมือง
ความผิดพลาดของการใช้คนที่ไว้ใจ


หลังจากกองทัพ 18 หัวเมืองเกิดอาการ "วงแตก"
แยกย้ายกลับเมือง
ขุนศึกทุกคนต่างเร่งสะสมไพร่พล
ซุนเกี๋ยนยึดกังตั๋ง
อ้วนเสี้ยวยึดกิจิ๋ว
อ้วนสุดขยายอำนาจจากลำหยง
โจโฉยึดเฉงจิ๋วและกุนจิ๋ว

เล่าปี่ยังเหมือนเดิมคือเป็นนายอำเภอเพงงวนก๋วน
ฐานะต่ำต้อยกว่าทุกคน
จนกระทั่ง่เล่าปี่อาศัยจังหวะที่โจโฉยกทัพล้อมเมืองชีจิ๋ว
ยกทัพเข้าช่วยโตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว
เมื่อสถานการณ์สงบ
โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋วจึงขอร้องให้เป็นเจ้าเมืองต่อจากตน
สุดท้ายเล่าปี่จึงได้เป็นเจ้าเมืองหัวเมืองเอก

ในขณะนั้นลิโป้แตกทัพมาขอพึ่งเล่าปี่
เล่าปี่เห็นเป็นโอกาสที่จะดึงลิโป้เป็นแนวร่วมต่อต้านโจโฉ
จึงต้อนรับขุนทวนอันดับหนึ่งเป็นอย่างดี

โจโฉไม่ต้องการให้เล่าปี่กับลิโป้จับมือกระชับไมตรีกัน
จึงอ้างพระบรมราชโองการให้เล่าปี่เคลื่อนทัพไปกำจัดอ้วนสุด
หวังจะยืมมือลิโป้กำจัดเล่าปี่
เพราะเมื่อเมืองว่าง คนเนรคุณอย่างลิโป้คงไม่ปล่อยโอกาสทอง

ด้วยเหตุนี้เล่าปี่จึงจัดทัพออกรบโดยมีกวนอูเป็นทั้งขุนพลและที่ปรึกษา
ส่วนเตียวหุยให้เฝ้าเมืองโดยกำชับว่าห้ามเตียวหุยดื่มสุรา
เล่าปี่ยกทัพออกจากเมืองไปไม่นาน
เตียวหุยก็จัดปาร์ตี้ อำลาสุรา เพื่อเป็นการดื่มครั้งสุดท้าย
จนเมามายไม่เป็นท่า จนนำไปสู่การโบยตี ขุนพลโจป้า พ่อตาลิโป้
สุดท้ายโจป้า จึงเปิดประตูเมืองให้ลิโป้เข้ายึดอย่างง่ายดาย

เรื่องราวการใช้คนผิดประเภท
เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
แต่บ่อยครั้งก็เลี่ยงไม่ได้เพราะบุคลากรที่มีก็แสนจำกัด
นี่คือข้อจำกัดอันแสนปวดศีรษะของผู้นำ

ทว่าหากพลิกมุมคิดสักนิด
จะพบว่าบุคลากรมีจำกัด
หรือคนที่ไว้ใจได้มีจำกัด
ลองตรองให้ดีนะครับ

กรณีของเล่าปี่ก็เช่นกัน
เพราะในโลกทัศน์ของเล่าปี่
คนที่เขาไว้ใจได้มีแค่ กวนอู,เตียวหุย
ในขณะที่ทีมงานของเขามี
บิต๊ก กันหยง ซุนเขียน พ่อลูกตระกูลตัน

แน่นอนว่าคนเหล่านี้รบพุ่งไม่เก่งเหมือนเตียวหุย
แต่มั่นใจได้ว่าสติปัญญาและไหวพริบดีกว่าเตียวหุยแน่
ทว่าเล่าปี่กลับไม่เลือกคนเหล่านี้มาคุมฝ่ายบู๊
เนื่องจากไม่ต้องการให้คนนอกครอบครัวมาคุมฝ่ายความมั่นคง
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมือ หากแต่ไม่ใว้ใจ
ซึ่งผิดกับโจโฉที่กล้าตั้งคนนอกอย่างซุนฮก ให้มาดูแลพระนครฮูโต๋ ยามเขาออกศึก

จากประเด็นนี้ทำให้ผมเห็นว่า
ในช่วงดังกล่าว เล่าปี่ขี้ระแวงกว่าโจโฉ
และพยายามกุมอำนาจทั้งหมดเอาไว้ในครอบครัวและคนใกล้ชิด

ผู้นำและนักบริหาร ในบ้านเรามีจำนวนไม่น้อย
ที่คิดแบบเล่าปี่ สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง "คอตก" เพราะงานล้มเหลว
เนื่องจากใช้แต่คนสนิทที่ไว้ใจ

คุณผู้อ่านครับ วิธีคิดแบบนี้มันสะท้อนให้เห็นถึง
ความล้มเหลวของระบบการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ
ไม่มีระบบตรวจสอบที่ชัดเจน
ทำให้ระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าคนอื่นจะโกง
เหตุที่รู้สึกเช่นนั้นเนื่องจากความเชื่อที่ว่า

"เลือดต้องข้นกว่าน้ำ
พี่น้องกันต้องไม่โกง
แต่คนอื่นไม่แน่"
(ทว่าไอ้ที่พังพินาศ
ส่วนมากก็มาจากการยักยอกของคนใน)

เรียกว่าเป็นการใช้ความรู้สึก
และใกล้ชิดตัดสินจริยธรรมของคนอื่น
ทำให้ระแวงและไม่กล้าใช้งานคนนอก
ผลที่ตามมาคือทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย
และสูญเสียโอกาสดีๆไปอย่างมากมาย
ทำให้บ่อยครั้งถูกคู่แข่งแซงโค้ง
ไปอย่างน่าเสียดาย

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ปิดฉากชีวิตซุนเกี๋ยน

บทที่ 7
ปิดฉากชีวิตซุนเกี๋ยน
ความพ่ายแพ้ของผู้ชนะ


การได้ครอบครองตราพระราชลัญจกรหรือตราหยกแผ่นดิน
กลายเป็นชนวนแค้นระหว่างเมืองเกงจิ๋วและกังตั๋งอย่างรุนแรง
ซุนเกี๋ยนผูกใจเจ็บคิดอยากล้างแค้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว

กระทั่งวันหนึ่ง
อ้วนสุดส่งจดหมายยุให้ซุนเกี๋ยนเคลื่อนทัพตีเล่าเปียว
(เนื่องจากอ้วนสุดส่งหนังสือขอเสบียงจากเล่าเปียว
ทว่าเล่าเปียวปฎิเสธทำให้อ้วนสุดโกรธมากจึงหาทางสั่งสอนเล่าเปียว)

ในจดหมายมีใจความดังนี้ เล่าเปียวรับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวให้เข้ายกทัพดักสกัดทัพของท่าน
ทำให้กองทัพของท่านถูกทำลายสร้างความอัปยศอย่างมาก
หากท่านต้องการล้างแค้น เราจะยกทัพลุยกับอ้วนเสี้ยว
ส่วนท่านก็ยกทัพยึดเกงจิ๋วให้หมด
เพียงเท่านี้แค้นของซุนเกี๋ยนก็ได้รับการชำระ

แม้เหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองจะคัดค้านแผนการบ้าๆของอ้วนสุด
ทว่าซุนเกี๋ยนบอกเป็นโอกาส
เข้าทำนอง
"รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก"
เพราะถึงอย่างไรมีแค้นต้องชำระ

ด้วยเหตุนี้ซุนเกี๋ยนจึงจัดทัพออกศึก
บุกกังแฮ เมืองหน้าด่านของเมืองเกงจิ๋ว
และกุมตัวหองจอ เจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว

การปราบหองจอในครั้งนี้
ยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้กับซุนเกี๋ยนอย่างมากมาย
ด้านเล่าเปียวเมื่อทราบว่าหองจอ ทหารเอกของเขาพ่ายแพ้
จึงส่งนายพลชัวมอ ออกศึก
ด้วยความเป็นเสือสนามซ้อมแต่เป็นไอ้เหมียวสนามจริง
ทำให้ชัวมอพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
ซุนเกี๋ยนยิ่งฮึกเหิมมากขึ้น
เคลื่อนทัพล้อมเมืองเกงจิ๋ว

เล่าเปียวจึงตัดสินใจขอให้อ้วนเสี้ยวยกทัพมาช่วยคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้
ลีก๋ง ขุนพลคนหนึ่งขออาสาทำการ
เก๊งเหลียงที่ปรึกษาเล่าเปียว จึงเสนอแผนว่า

"เราจะจัดทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยตามท่านไป เมื่อรบหักฝ่าวงล้อมไปแล้วให้จัดทหารเกาทัณฑ์สองร้อยแบ่งเป็นสองกอง
ให้ซุ่มอยู่ในป่าท้ายเขาฮีสันกองหนึ่ง
และให้ซุ่มอยู่ที่เนินเขาฮีสันอีกกองหนึ่ง ให้เตรียมก้อนศิลาไว้ให้พร้อม ซุนเกี๋ยนคงจะยกตามตีท่านไป ให้ตัวท่านกับทหารสามร้อยแกล้งถอยไปทางเขาฮีสัน ถึงจุดซุ่มระหว่างเนินเขาและป่าท้ายเขาฮีสันเมื่อใด ให้จุดพลุสัญญาณใหญ่ขึ้นสามนัด ให้พลเกาทัณฑ์ระดมยิงซุนเกี๋ยน ฝ่ายเราก็จะยกตีกระหนาบเข้าไป ซุนเกี๋ยนก็คงรอดยาก
แต่ถ้าซุนเกี๋ยนไม่ติดตาม ขอให้ท่านรีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน รีบไปให้ถึงอ้วนเสี้ยวโดยเร็ว"

ลีก๋งได้ฟังแผนก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
รีบออกไปเตรียมพลธนู
เมื่อถึงเวลาจึงเปิดประตูเมืองด้านตะวันออก
รีบนำกองกำลังเล็กๆของตน
ควบม้าอย่างเร็วไปที่เขาฮีสันตามที่วางแผนไว้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเมื่อรู้ว่ามีหน่วยทหารเล็กๆหนีออกไปได้
จึงรีบขึ้นม้าถือง้าวพาทหารสามสิบคนเร่งตามอย่างรวดเร็ว
พอลีก๋งเห็นซุนเกี๋ยนมาถึงจุดมรณะ
จึงพลุสัญญาณขึ้นสามนัด กองพลธนูซุ่มที่อยู่บนเนินเขาฮีสันและที่อยู่ในป่าเชิงเขาฮีสันก็ทิ้งศิลา
และยิงเกาทัณฑ์ลงมา
คงไม่ต้องบอกว่าสภาพซุนเกี๋ยนจะเป็นเช่นไร
แต่เป็นอันว่าชีวิตของผู้นำอันห้าวหาญ
ก็ปิดฉากมรณกรรมที่นี่ด้วยวัยเพียง 37 ปี

ซุนวู เจ้าของพิชัยสงครามซุนวู
ได้เตือนเอาไว้ในพิชัยสงครามของเขาในเรื่องความพ่ายแพ้ของผู้ชนะ
เพราะผู้ชนะส่วนใหญ่จะลำพองกับชัยชนะ
ยิ่งชนะมากก็ยิ่งประมาทเยอะ

ซุนเกี๋ยนก็เช่นกัน
ทั้งที่เขาเป็นผู้นำระดับชั้นแนวหน้าของยุคนั้นก็ว่าได้
ภาวะผู้นำของเขาไม่ด้อยกว่าโจโฉ
และดูดีกว่าสองพี่น้องตระกูลอ้วน
แต่เพราะความประมาทจึงทำให้ชัยชนะที่สร้างเอาไว้สูญสลาย
และจบชีวิตไปก่อนวัยอันควร

เรื่องราวของผู้นำอย่างซุนเกี๋ยน
ให้บทเรียนกับเราอย่างมากมาย
โดยเฉพาะเรื่องความพ่ายแพ้ของผู้ชนะ
ที่ผู้นำและผู้บริหารจำนวนมากมองข้าม
เพราะคิดว่าตนเองเก่ง

แต่พวกเขาลืมไปว่าชัยชนะในอดีต
ไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จในปัจจุบัน
การยึดติดคือการก่ออัตตา ตัวกู ของกู
เมื่อสิ่งนี้มากขึ้นก็ยิ่งมั่นใจในตนเอง
จนนำไปสู่ความประมาท

ในชีวิตจริงใครที่ได้เจ้านายแบบนี้ต้องทำใจครับ
เพราะคนเหล่านี้จะดื้อมาก
และหากเขาไม่ถามคุณอย่าเสนอ
เพราะเขาเชื่อมั่นในวิธีคิดของตนเอง
การเสนอความเห็นที่ถูกต้อง
แต่ไปทัดทานความคิดของเขาแบบตรงๆ
อาจทำให้เขาไม่ชอบคุณและกลายเป็นอคติส่วนบุคคล

ฉะนั้นต้องปล่อยให้เขาพบกับความล้มเหลว
หรือผิดพลาดเพื่อเป็นบทเรียนชุดใหม่
เมื่อผิดหวังเขาจะหาเพื่อนหรือที่ปรึกษา
ซึ่งนั่นเป็นจังหวะดีที่คุณจะเสนอความเห็น

แต่ถ้าเขายังทำตัวเหมือนเดิม
อันนี้คุณต้องตัดสินใจเองแล้วว่า
คุณจะอยู่กับคนแบบนี้ต่อ
หรือจะไปหาเจ้านายคนใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : จุดจบของอ้วนสุด 2

บทที่ 6
กลเกมแยกแนวร่วม
จุดจบของอ้วนสุดผู้มีบารมีเหนือราชวงศ์ฮั่น 2


เมื่อวานผมได้ฉายภาพผู้นำกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เมื่อเทียบกับอ้วนสุด เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของกองทัพอ้วนสุด เมื่อเทียบกับผู้นำแคว้นอื่นๆก่อนเข้าสู่ยุคสามก๊ก

ไม่ใช่แค่แสนยานุภาพของเขา หากแต่ว่าอ้วนสุดยังเดินหมากผูกมิตรกับผู้นำแคว้นต่าง ๆ เพื่อสร้างแนวร่วมกลุ่มตะวันออก ด้วยการพยายามขอจับมือเป็นไมตรีกับลิโป้ ซึ่งขณะนั้นลิโป้ได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว

เพียงแค่นี้ก็สร้างแรงกดดันมหาศาลให้รัฐบาลกลางที่ถูกจัดตั้งโดยพรรคขนาดกลางที่มีนายกฯชื่อโจโฉ เพราะแค่รับมือกับลิโป้ก็ตึงมือ ยิ่งอ้วนสุดมาตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ ตั้งราชวงศ์ใหม่ ยิ่งสร้างความปวดศีรษะให้โจโฉมากขึ้น

หากอ้วนสุดยอมจับมือกับลูกน้องเก่าอย่างซุนเซ็ก ย่อมสร้างความวิตกกังวลให้โจโฉมาก ฉะนั้นจะกำจัดคนอย่างอ้วนสุดต้องสุขุม รอบคอบ และรีบร้อนไม่ได้เพราะอ้วนสุดมีอำนาจและบารมีมาก ฉะนั้นต้อง "เปลือย" อ้วนสุดด้วยการดึงแนวร่วมออกจากอ้วนสุด นั่นคือการดึงซุนเซ็กแห่งกังตั๋ง (ลูกชายซุนเกี๋ยน) อดีตขุนพลมือดีของอ้วนสุดออกมาก่อน เพราะขณะนัันซุนเซ็กกับอ้วนสุดมีกรณีพิพาทเรื่องตราราชลัญจกร โจโฉจึงดึงซุนเซ็กเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้สำเร็จ

ด้านลิโป้ซึ่งคิดอะไรที่ไกลมากไม่ค่อยได้ หรือที่เรียกว่าไม่มีวิสัยทัศน์ แค่เพียงมอบตำแหน่งขุนนางให้ ลิโป้ก็ปลื้มใจยอมทำงานให้กับโจโฉเต็มที่ เป็นอันว่าสองแนวร่วมฝั่งใต้และตะวันออกก็โบกมือลาอ้วนสุด จากมิตรจึงกลายเป็นศัตรู

แผนที่กำจัดอ้วนสุดก้าวที่สอง คือตัดกำลังอ้วนสุดซึ่งโจโฉก็กำลังคิดว่าจะทำเช่นไร จู่ ๆ อ้วนสุดก็ยกทัพ 20 หมื่นบุกเมืองชีจิ๋ว เพราะโกรธที่ลิโป้ไปมีใจให้โจโฉ ศึกนี้รบอย่างดุเดือด ลิโป้สามารถใช้กลยุทธ์น้อยชนะมาก

ศึกนี้อ้วนสุดพ่ายยับเยิน โจโฉเห็นจังหวะเหมาะ จึงออกคำสั่งระดมพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเล่าปี่่ ลิโป้ ซุนเซ็ก ร่วมกัน "รุมกินโต๊ะ" อ้วนสุด

สุดท้ายอ้วนสุดแพ้ครั้งที่สอง ต้องเสียเมืองลำหยงที่มั่นหลัก แต่โชคดีที่หนีเร็วจึงเก็บชีวิตไว้ได้

แผนบันได 3 ขั้นกำจัดอ้วนสุด ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำลายกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของอ้วนสุดจนเกือบหมด

คุณผู้อ่านครับ สำหรับผู้นำแล้วคอนเน็คชั่นคือสิ่งสำคัญ หากไม่สามารถรักษาได้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จย่อมน้อยลง

อ้วนสุดถือตัวว่ายิ่งใหญ่ ทำให้เขามองข้ามเรื่องนี้ จึงถูกโดดเดี่ยวโดยไม่รู้ตัว เพราะดันไปผลักมิตรเป็นศัตรูจนหมด

หากเขารู้จักเล่นเกมกระชับแนวร่วม ค่อย ๆ บีบโจโฉ มีหรือที่โจโฉจะรอด แต่อ้วนสุดกลับไม่สนใจ พอไม่พอใจก็ยกทัพลุย ประกาศศักดาอย่างเดียว ใช้แต่พระเดช ไม่ยอมสร้างพระคุณ คนประเภทนี้จึงอาศัยแต่อำนาจกดขี่บังคับ

หากนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงในยามที่เราต้องการให้ใครสักคนมาช่วยเหลือเรา เราต้องอาศัยวาทะศิลป ์การเจรจาที่อ่อนน้อม

แต่ผู้บริหารอย่างอ้วนสุดจะเป็นลักษณะ "มึงจะช่วยหรือไม่ ถ้าไม่ช่วยกูจะเล่นงานมึง" คนแบบนี้ใครอยากจะช่วยครับ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่มีใครอยากช่วยแน่นอน

ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้นำแบบนี้จะขาดการสนับสนุนจากคนอื่น คุณผู้อ่านว่าจริงไหม

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : จุดจบของอ้วนสุด 1

บทที่ 5
กลเกมแยกแนวร่วม
จุดจบของอ้วนสุดผู้มีบารมีเหนือเหนือราชวงศ์ฮั่น 1


หากวิเคราะห์ขุมกำลังเพื่อสะท้อนแสนยานุภาพของกองทัพ "อ้วนสุด" คืออันดับต้น ๆ และดูเหมือนว่าเขาจะเหนือกว่าอ้วนเสี้ยวและโจโฉมาก

การปรากฎตัวของอ้วนสุดในครั้งศึก 18 หัวเมืองล้มทรราชย์ตั๋งโต๊ะ อ้วนสุดคือ เจ้าเมืองลำหยงซึ่งเป็นผู้มากบารมีเหนือลุ่มน้ำฉางจียง (แยงซีเกียง) เพราะเขามีกองทัพหลายสิบหมื่นทำให้สามารถเป็นใหญ่ในแดนใต้ได้ก่อนอ้วนเสี้ยว (เพราะขณะนั้นอ้วนเสี้ยวยังเป็นแค่เจ้าเมืองปุดไฮแทบจะไม่มีแม้กระทั่งเสบียงเลี้ยงกองทัพตนเอง)

หากเทียบกับโจโฉ อ้วนสุดเหนือกว่าหลายขุมเพราะช่วงที่กองทัพ 18 หัวเมือง "วงแตก" โจโฉมีไพร่พลเหลือไม่ถึงหมื่นเนื่องจากถูกลิโป้ขยี้จนแหลกราญ อาศัยได้รับคำสั่งให้ปราบโจรโพกผ้าเหลืองร่วมกับเปาสิ้น จึงใช้โอกาสนี้ตั้งตัวด้วยการ "ชนะใจโจร" ฟื้นกองทัพใหม่ จนได้รับการแต่งตั้งเป็น "แม่ทัพใหญ่ภาคตะวันออก"

หากเทียบกับซุนเกี๋ยน อ้วนสุดนับว่าซุนเกี๋ยนยังด้อยบารมีกว่าอ้วนสุดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะในวรรณกรรมหรือในประวัติศาสตร์ เพราะการที่อ้วนสุดแกล้งไม่ส่งเสบียงให้ซุนเกี๋ยน ในศึก 18 หัวเมืองโค่นตั๋งโต๊ะเท่ากับเป็นการลูบคมซุนเกี๋ยนอย่างแรง แต่ซุนเกี๋ยนกลับทำอะไรไม่ได้ หากในประวัติศาสตร์ อำนาจของซุนเกี๋ยนยิ่งด้อยกว่าอ้วนสุด เรียกได้ว่าอยู่ใต้ร่มของอ้วนสุดก็ว่าได้

หากเทียบกับลิโป้ อ้วนสุดเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะลิโป้หลังจากแพ้ลิฉุย ก็ไม่มีเมืองให้อาศัย ต้องไปอยู่กับเล่าปี่เพื่อฟื้นฟูกำลังตนเอง

และยิ่งเทียบกับเล่าปี่ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว เล่าปี่มีคุณธรรมแต่อ้วนสุดมีอำนาจและแสนยานุภาพ หากอยากรู้ว่า กองทัพอ้วนสุดแกร่งขนาดไหนก็ขอให้ดูสงครามที่กวนอูปะทะกับกิเหลงแม่ทัพใหญ่ของอ้วนสุด กวนอู ฝีมือรบขั้นเทพก็ยังไม่อาจเผด็จศึกกิเหลง ให้ดาวดิ้นได้สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งทัพยันกันนาน ไม่สามารถพิสูจณ์ผลแพ้ชนะได้

ผมพยายามฉายภาพของผู้นำก่อนยุคสามก๊ก ให้เห็นภาพชัด ๆ จะได้เข้าใจอ้วนสุดมากขึ้น พรุ่งนี้ผม จะนำเสนอจุดจบของอ้วนสุดที่ต้องพ่ายกลเกมแยกแนวร่วมของโจโฉ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ฮันฮก ถูกยึดอำนาจ

บทเรียนความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก

บทที่ 4
ฮันฮก ถูกยึดอำนาจ
จุดจบผู้นำที่ไม่พึ่งพาตนเอง


ภายหลังจากที่ตั๋งโต๊ะที่ลิโป้ลูกรักเสียบซอกคอ ลิฉุยกุยกีมีอำนาจในเมืองหลวง เหล่าขุนศึกหัวเมืองต่างแย่งชิงอำนาจขยายเขตแดน อ้วนเสี้ยวก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมืองที่อ้วนเสี้ยวจ้องมองชนิดตาเป็นมันก็คือเมือง "กิจิ๋ว" ที่มีเจ้าเมืองชื่อฮันฮก จะว่าไปแล้วอ้วนเสี้ยวกับฮันฮกก็มีความสนิทกันระดับหนึ่ง เพราะในอดีตฮันฮกคือ 1 ใน 18 หัวเมืองที่เข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวต่อต้านตั๋งโต๊ะ เมื่อพันธมิตรวงแตก ทุกคนต่างแยกย้ายกลับเมือง เมืองของอ้วนเสี้ยวเป็นเมืองเล็กมักจะมีปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร จึงต้องพึ่งเสบียงจากเมืองกิจิ๋ว

คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าฮันฮกใจบุญนะครับ การที่เขาส่งเสบียงให้อ้วนเสี้ยวก็หวังจะยืมแสนยานุภาพของกองทัพอ้วนเสี้ยว เพราะกองทัพในเมืองของเขาไม่แข็งแกร่ง

ฉะนั้นต่างฝ่ายจึงมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน ทว่าอ้วนเสี้ยวก็เป็นคิดการใหญ่ เหมือนดั่งคำว่า "มังกรไม่อยู่ในหนองบึง" อ้วนเสี้ยวจึงวางแผนฮุบกิจิ๋ว

แต่ลำพังถ้าเขาทำเองก็คงต้องเหนื่อยเพราะข้าศึกหลบอยู่หลังกำแพง ต่อให้ชนะก็ต้องสูญเสีย เขาจึงวางอุบายชนะโดยไม่ต้องรบ

ด้วยการส่งม้าเร็วไปหากองซุนจ้านผู้ครองเมืองปักเป๋ง โดยสัญญาว่าให้กองซุนจ้านยกทัพเข้าตีด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งเขาจะเข้าตี พอได้เมืองกิจิ๋ว เราก็จะแบ่งกันคนละครึ่ง

จากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ให้ลูกน้องปล่อยข่าวว่ากองซุนจ้านจะเข้าตีเมืองกิจิ๋ว ด้วยความที่ฮันฮกเป็นคนขี้ขลาด พอทราบข่าวก็ตกใจรีบประชุมครม.ด่วน ลูกพี่เป็นเช่นไรก็ย่อมได้ลูกน้องแบบนั้น เพราะเสียงในสภาส่วนใหญ่ให้ขอกองทัพอ้วนเสี้ยวมาพิทักษ์เมือง

แม้เสียงข้างน้อยจะต่อต้านมติเฮงซวย ทว่าเมืองกิจิ๋วปกครองระบอบ "พวกมากลากไป" ฮันฮกเห็นมติโดนใจตัวเองจึงรีบปั๊มตรายางอนุมัติโดยไม่ต้องตรึกตรอง พอมีคนคัดค้าน ฮันฮกก็ยกคำปราชญ์มาอวดฉลาดแสดงภูมิ ขุนนางน้ำดีส่วนใหญ่จึงโบกมือลา

พออ้วนเสี้ยวได้รับจดหมายเชิญเข้าเมืองก็ดีใจมาก รีบจัดทัพอย่างรวดเร็ว

พอทหารเข้าเมืองกิจิ๋วได้ไม่นาน อ้วนเสี้ยวก็ยึดอำนาจปลดฮันฮกจากเจ้าเมืองให้เป็นที่ปรึกษา สั่งปลดขุนนางเก่าและโยกขุนนางของตนเองมาแทน

สุดท้ายฮันฮกก็ต้องหนีไปเสียชีวิตที่เมืองอื่น ปิดฉากผู้นำซื่อบื้อที่ไม่รู้จักยืนหยัดบนลำแข้งตนเอง

คุณผู้อ่านครับ ผู้นำแบบฮันฮกถือว่าเป็นคนที่ไม่มีภาวะผู้นำ อย่าว่าแต่วิสัยทัศน์เลย แค่วิธีคิดก็ผิดอย่างยิ่ง ไม่สมควรเป็นผู้นำ

มีอย่างที่ไหนเรื่องของความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญเป็นฐานรากของแผ่นดิน แต่กลับต้องพึ่งพาคนอื่น แล้วคนแบบนี้จะทำการใหญ่ได้หรอ คนที่อยู่ด้วยก็เป็นคนแบบเดียวกัน

ใครที่มีเจ้านายขี้ขลาดและฉลาดน้อยอย่างฮันฮก นับว่าโชคไม่ค่อยจะดีและหากมีโอกาสจรได้ ก็จงแจวเถอะครับ เพราะคนแบบนี้ร่วมงานด้วยก็เสื่อม โง่ไม่ว่ายังอวดฉลาดอีกต่างหาก

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก