ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ความปราชัยของอ้วนเสี้ยว

บทที่ 27
ความปราชัยของอ้วนเสี้ยว
"คน" คือจุดเปลี่ยนของเกม

สงครามที่กัวต๋อ 1 ใน3 อภิมหายุทธการที่ยิ่งใหญ่ในยุคสามก๊ก
และโลกยุคโบราณเพราะเป็นสงครามที่ใช้ไพร่พลทำศึกกันเกือบ 1 ล้านคน !!!
สงครามดังกล่าวคือการเปิดศึกกันระหว่าง
จอมพลอ้วนเสี้ยว ผู้มากบารมีในแดนเหนือ ยกทัพถึง80 หมื่น
ในขณะที่นายกฯโจโฉ ผู้นำรัฐบาลกลางมีไพร่พลแค่ 8 หมื่นคน




คงไม่ต้องเดาเลยว่าโจโฉจะเสียเปรียบจอมพลแดนเหนือขนาดไหน
ด้วยจำนวนไพร่พลที่ห่างกันช
นิด10 ต่อ1
ทว่าโจโฉก็สามารถใช้อุบายแล
ะกลยุทธ์ต่างพลิกแพลงมากมาย
จากเสียเปรียบก็กลายเป็นก้ำ
กึ่ง

ทว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้โจโฉต้องพ่าย
เนื่องจาก "เสบียงหมด" เพราะโจโฉได้ส่งจดหมายลับ
ไปหาซุนฮิว ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯเอ๊ย พระนครฮูโต๋ เรื่องเสบียง

แทนที่จดหมายลับนั้นจะไปถึงท่านผู้ว่าฯ
กลับถูกมือดีซึ่งเป็นคนของเขาฮิว ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวฉกไปเสียก่อน

จุดเปลี่ยนของอภิมหาสงครามอยู่ตรงนี้แหละครับ
เมื่อเขาฮิวได้อ่านจดหมายก็รีบนำจดหมายนี้ไปให้อ้วนเสี้ยวผู้เป็นเจ้านาย
อ้วนเสี้ยวอ่านแล้วขมวดคิ้วก่อนจะตอบว่า
"ไอ้โจโฉมันมากเล่ห์ มันแสร้งเขียนจดหมายขึ้นมาเพื่อหวังทำอุบาย"

จู่ๆก็มีทหารมาส่งจดหมายให้อ้วนเสี้ยว
ความในจดหมายนั้นคือ
สิมโพย ที่ปรึกษาอีกคนของอ้วนเสี้ย

ได้กุมตัวลูกหลานของเขาฮิวเ
อาไว้หมดแล้ว
เนื่องจากลูกหลานเขาฮิว
อาศัยอิทธิพลเขาฮิวในฐานะกุ
นซือของอ้วนเสี้ยว
ไปข่มขู่ ขูดรีด เก็บส่วยชาวบ้าน


พออ้วนเสี้ยวอ่านจบก็ด่าเขาฮิวว่า
"มึงมันเป็นคนเลว เอาจดหมายนี้มาลวงกู
เพราะมึงกับไอ้โจโฉเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน
ไอ้โจโฉมันคงให้ใต้โต๊ะมึงเยอะก็เลยมาทำอุบายหลอกกู
มึงจงไปเสียแล้วอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"

เขาฮิวเลยไปเข้ากับโจโฉจริง
เขาขายความลับทุกอย่างของอ้วนเสี้ยวให้โจโฉทั้งหมด
ทำให้โจโฉรู้ความลับทางการทหารของอ้วนเสี้ยวจนหมด
จริงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โจโฉจะถล่มทัพอ้วนเสี้ยวจนแตกพ่ายแหลกราญ

คุณผู้อ่านครับ
สรุปแล้วความพ่ายแพ้ของอ้วน
เสี้ยวมาจาก
ความผิดพลาดทางความคิดและ
การไม่รู้จักแยกแยะระหว่างค
วามจริงและความเชื่อ

ชัยชนะของโจโฉจึงมาจากความผิดพลาดของอ้วนเสี้ยว
ไม่ใช่เพราะฝีมือของนายกฯโจเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากสถาการณ์แบบนี้ลำพังแค่ฝีมือคงยากที่จะพลิกเกมได้
หากอีกฝ่ายไม่เดินหมากผิดเสียเอง
โจโฉคงไม่ส้มหล่น พิชิตอ้วนเสี้ยวสำเร็จ

จุดที่ไม่ควรมองข้ามของเรื่องนี้คือ
การไม่แยกแยะระหว่างความจริงกับความเชื่อ
ลองคิดง่ายๆนะครับ
อ้วนเสี้ยวยังเจรจาดีๆกับเขาฮิว
แต่เมื่อได้รับจดหมายจากสิมโพย
ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

โดยอ้วนเสี้ยวไม่ไตร่ตรองเลยว่าสิมโพยกับเขาฮิว
มีปัญหากันมาก่อนหรือไม่
การกุมตัวลูกหลานเขาฮิว มีการตรวจสอบที่เป็นธรรมหรือยัง
ไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาแล้วกุมตัวโดยปราศจากหลักฐานและพยา

ที่สำคัญแม้ลูกหลานเขาฮิวจะผิด
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาฮิวจะต้องผิด
เพราะเขาถูกอ้างชื่อเพื่อหากิน

สิมโพยใช้กลยุทธ "แทงหลัง เลื่อยขา เหยียบบ่า"เพื่อนร่วมงาน
หวังดิสเครดิตเขาฮิว
ซึ่งอ้วนเสี้ยวกลับเชื่อ
และด่าเขาฮิวชนิดยับเยิน

ปัญหาแบบนี้ในองค์กรมีเยอะ
พยายามลากเรื่องส่วนตัวให้ก
ลายเป็นประเด็นการเมืองในองค์กร
อาศัยว่าเจ้านายหูเบาและ เชื่อคนที่เข้ามาฟ้องก่อน
ฉะนั้นคนที่ฟ้องเร็วกว่าก็จ
ะได้เปรียบ

พอเจ้านายเชื่อทุกอย่างก็ง่าย
ส่วนคนที่ถูกกระทำ ถูกรังแก
พยายามอธิบายความจริง
ก็จะกลายคำแก้ตัว

เจ้านายแบบนี้ใครอยู่ด้วยก็อึดอัด
เพราะมีสมองแต่ไม่รู้จักตรอ
ไม่รู้จักแยกระหว่างความเชื่อและเหตุผล
เจ้านายแบบนี้ก็จะได้ลูกน้องขี้ประจบ เอาใจ
แต่ผลงานไม่ได้เรื่อง ทว่าเวลาประเมินผลงานกลับดีจนแทบเลิศ
ส่วนลูกน้องเก่ง แต่ไม่เอาใจเจ้านายกลับทำงานหนัก
ทั้งยังถูกตำหนิด้วยเหตุผลส่วนตัว
เวลาประเมินคงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นเช่นไร

ฉะนั้นแล้วคนดีๆที่ไหนอยากจะมาร่วมงานกับเจ้านายพันธุ์นี้
และอ้วนเสี้ยวก็เป็นนายประเภทนี้
จึงทำให้การบริหารคนของเขาไม่มีประสิทธิภาพ
แม้จะมีคนเก่งเต็มองค์กร

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก