ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เกงจิ๋วสิ้นสูญหลังมรณกรรมของเล่าเปียว

บทที่ 30

เกงจิ๋วสิ้นสูญหลังมรณกรรมของเล่าเปียว

บทเรียนผู้นำที่ไม่กล้าใช้คนดีและชอบรักษาคนเลว


วิสัยทัศน์ของผู้นำแสนดีอย่างเล่าเปียว
ที่ไม่กล้าใช้เล่าปี่ออกศึกกำจัดโจโฉ
เป็นการพลาดโอก
าสทองไปแล้วครั้งหนึ่ง

การพลาดโอกาสดียังพอให้อภัย
แต่การไม่กำจัดเภทภัยใกล้ตัวอย่าง นายพลชัวมอ
พี่ชายของภรรยาที่ชอบแอบอ้างคำสั่งหาประโยชน์เข้ากลุ่มตนเอง
อันนี้คือความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
ที่เล่าเปียวเลี้ยงคนแบบนี้ จนได้ดิบได้ดีขึ้นมากุมอำนาจการทหาร




เหตุผลนี้ไม่ใช่เพราะชัวมอเป็นขุนทหารที่เก่งกาจ
หากแต่ชัวมอจะอาศัยชายกร
ะโปรงน้องสาวที่เป็นภรรยาเล่าเปียว
ทำให้ก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่น เวลาที่ทำผิดก็จะได้รับการให้อภัย
เพราะเล่าเปียวเห็นแก่หน้าภรรยา ทำให้วินัยทัพที่นี่หย่อนยา


ด้วยเหตุนี้ ทำให้นายพลชัวมอมักจะหาเรื่องกำจัดเล่าปี่
บุคคลที่เขามองว่าจะเป็นศัตรูทางการเมืองในอนาคต
ด้วยการแอบอ้างคำสั่งของเล่าเปียวโดยพลการ

รวมไปถึงการกีดกันเล่ากี๋ ทายาทคนโตของเล่าเปียว
ที่สมควรขึ้นเป็นเจ้าเมืองตามระบบจารีต
เพราะเขาต้องการให้เล่าจ๋อง ทายาทคนที่สองของเล่าเปียว
ที่เกิดจากนางชัวฮูหยิน (น้องสาวของตนเอง) ขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง

นั่นหมายความว่าหากเล่าจ๋อง ได้เป็นเจ้าเมือง
ก็เท่ากับว่าอำนาจทั้งหมดจะ
เป็นของชัวมอ ไปโดยปริยาย

ความเลวร้ายของชัวมอไม่ใช่แค่นั้น
เมื่อเขาสามารถสนับสนุนเล่าจ๋องขึ้นเป็นเจ้าเมือง
จากนั้นเมื่อโจโฉยกทัพลงใต้
แทนที่ชัวมอจะชูนโยบายพิทักษ์แผ่นดินมาตุภูมิ
แต่กลับขายแผ่นดินเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
บังคับเล่าจ๋องให้ยอมแพ้
สละตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วให้กับโจโฉ
เพื่อหวังตำแหน่งและความก้าวหน้าของตนเอง

โจโฉรู้ใจคนอย่างชัวมอ
ที่อุตส่าห์ยอมขายเจ้านาย ยอมขายแผ่นดิน
จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแ
ม่ทัพเรือ
ในศึกเช็กเพ็กหรือยุทธนาวีท
ี่ผาแดง
และชัวมอผู้นี้คืออุปสรรคให
ญ่ของจิวยี่แห่งกังตั๋งในศึกดังกล่าว

คุณผู้อ่านครับ
เหตุเภทภัยทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ล้วนมาจากการบริหารคนที่ผิดพลาดของเล่าเปียว 2 ประเด็นใหญ่คือ
1. มีคนดีมีฝีมือแต่ไม่กล้าใช้
2. ชอบรักษาคนเลวไว้ในองค์กร

หากองค์กรหรือหน่วยงานไหน
ผู้นำองค์กรมีนโยบายการบริหารคนแบบ
มีคนดีมีฝีมือแต่ไม่กล้าใช้
แต่ชอบรักษาคนเลวให้อยู่คู่องค์กร
จะด้วยเหตุผลใดก็ช่าง
บอกได้เลยว่าอยู่ด้วยแล้วโตยาก
เพราะคุณจะหมดโอกาสได้แสดงศักยภาพเต็มที่
เนื่องจากคุณเป็นคนเก่งที่โดดเด่นจนเจ้านายหวาดระแวง
และไม่กล้าเปิดโอกาสให้คุณแสดงความสามารถ

ฉะนั้นเจ้านายแบบนี้จะไม่สนับสนุน
หรือพัฒนาคุณให้เป็นคนเก่ง
เพราะเขากลัวว่าคุณจะเด่นเก
ินหน้า

ไม่เฉพาะแต่เจ้านายที่ไม่เอื้อให้คุณได้ดี
สภาพแวดล้อมรอบข้างที่เต็มไปด้วยคนห่วยแตกและคนเล่นพวก
ก็จะฉุดรั้งคุณเอาไว้ไม่ให้คุณเติบโต
หรือไม่ให้คุณแสดงความสามารถอันโดดเด่น

ฉะนั้นหัวหน้างานที่เกิดขึ้นภายใต้วัฒนธรรมองค์กรแบบนี
ก็จะไม่ใช่คนเก่ง หากแต่เป็นคนที่อยู่นาน
เป็นพวก "ข้าเก่าเต่าเลี้ยง" อาศัยฝีมือระดับหนึ่ง
แต่จะไม่ครีเอทอะไรใหม่ออกม
เพราะมันจะเป็นความเหนื่อยที่สูญเปล่า

ภายใต้วัฒนธรรมคนขาดสารอาหารเนื่องจาก
"เช้าชามเย็นชาม"
จึงไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงหรือการปรับตัว
ภายใต้วัฒนธรรมแบบนี้ถึงจะจ่ายเงินเดือนเยอะ
ก็ไม่น่าอยู่เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณเก่งขึ้น
ตรงกันข้ามมันยังฉุดให้คุณแย่ลง
เพราะคิดเองไม่เป็น ฟังแต่คำสั่งอย่างเดียว

แต่ถ้าคุณชอบอยู่สบายๆ
เอาตัวรอดไปวันๆไม่ต้องการความท้าทายใหม่
องค์กรแบบนี้อาจเป็นองค์กรในฝันของคุณก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ความผิดพลาดของเล่าเปียว

บทที่ 29
ความผิดพลาดของเล่าเปียว
เมื่อผู้นำปฎิเสธโอกาส

เมื่อเล่าปี่ถูกโจโฉถล่มจนต้องซมซานไปพึ่งเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่พยายามโน้มน้าวเล่าเปียวให้ระดมทหารเกงจิ๋ว
ฉวยโอกาสที่โจโฉบุกถล่มตระกูลอ้วนในเหอเป่ย
เข้าตีท้ายครัวยึดพระนครฮูโต๋
กู้เกียรติยศแห่งราชวงศ์ฮั่

โครงการของเล่าปี่ดีมาก
แต่เล่าเปียวส่ายหน้า
เพราะยึดหลักพอแล้ว
เนื่องจากเกงจิ๋วมีหัวเมืองมากมาย
สมควรที่จะพอ อย่าได้ยกทัพออกศึก
ให้ลำบากแก่ไพร่พล



ด้านเหล่าที่ปรึกษาในกองทัพโจโฉ
ก็กำลังหารือว่าจะยกทัพบุกข
ยี้ตระกูลอ้วนต่อไปเลยจะดีไหม
เนื่องจากหวั่นเกรงเล่าเปีย
วสบโอกาส
ที่พระนครฮูโต๋ว่าง
แต่งตั้งเล่าปี่เป็นแม่ทัพร
ะดมทัพเกงจิ๋วเข้าตีท้ายครั

กุยแกที่ปรึกษาของโจโฉจึงกล่าวว่า
คนอย่างเล่าเปียว เก่งที่สุดคือรักษาตัวรอด
และหวงอำนาจของตนเอง
เล่าปี่เป็นวีรบุรุษ มีชื่อเสียงด้านคุณธรรม
ความเป็นผู้นำเหนือกว่าเล่าเปียว
แล้วมีหรือคนอย่างเล่าเปียวจะไว้ใจเล่าปี่ ให้ทำการใหญ่
ที่รับเล่าปี่ก็เพราะเห็นเป็นคนแซ่เดียวกันและหวังใช้งานเล็กๆน้อย

ฉะนัันหากนายท่านอย่าได้วิต
ขอให้นายท่านยกทัพไปตีตระกูลอ้วน
กวาดล้างมันให้สิ้นซาก

โจโฉจึงเคลื่อนทัพได้อย่างสะดวกโยธิน
ไม่ต้องกังวลเรื่องเล่าเปีย
และทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่กุยแกคาดเอาไว้

คุณผู้อ่านครับ
เล่าเปียวเป็นผู้นำที่ดี
เขาปกครองเกงจิ๋วจนกลายเป็น
ดินแดนแห่งสันติสุขและวิชาการ
แต่เขาไม่ใช่ผู้นำที่ชาญฉลา
ดหรือมีวิสัยทัศน์

เล่าเปียวพยายามหลอกตัวเองว่าโจโฉจะไม่ยกทัพลงใต้
เพราะมัวแต่สาละวนกับตระกูลอ้วน
ทว่าไม่ได้มองว่าหากโจโฉ ปราบตระกูลอ้วนสำเร็จ
เกงจิ๋วจะเป็นอันตรายหรือไม
ทั้งที่ยุคนั้นคือยุคแห่งสงครามและการแย่งดินแดน

พอเล่าปี่เสนอความคิดดีๆ
ก็ไม่กล้าไว้ใจเล่าปี่เพราะกลัวว่าจะสร้างบารมีเหนือตนเองในกองทัพ
นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเล่าเปียวที่เห็นอย่างเด่นชัด
1.ไม่เข้าใจบริบทของสังคมในยุคนั้น
2.มีคนดีไม่กล้าใช้ เพราะกลัวคนดีจะเกินหน้าเกินตา

ความผิดพลาดทั้ง2 ประเด็นของผู้นำ
จึงส่งผลต่อความมั่นคงของแผ่นดินในระยะยาว
และนำมาซึ่งความล่มสลายของอาณาจักรในอนาคต

ผู้นำที่มองไม่เห็นโอกาส
ถือว่าเป็นผู้นำที่ไร้วิสัย
ทัศน์
ผู้นำที่มองโลกในแง่เดียวคื
อผู้นำอันไร้เดียงสา
ชอบคิดว่าคนอื่นต้องคิดเหมื
อนตนเอง

ในยุคนี้เราจะพบคนแบบนี้ค่อนข้างเยอะ
ที่ชอบคิดอะไรเข้าข้างตนเอง
เพราะเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
โดยไม่สนใจบริบทของการแข่งขัน
ความจำเป็นที่ต้องกระจายอำนาจบางอย่างให้กับลูกน้อง
เพื่อให้การทำงานลุล่วงตามเป้าหมาย
ตนเองจะได้มีเวลาไปพัฒนางานด้านอื่นๆ

แต่ผู้นำพวกนี้ชอบรวบอำนาจ
และกลัวว่าลูกน้องจะสร้างผลงานที่โดดเด่นกว่าตนเอง
จึงไม่กล้าให้อำนาจตัดสินใจกับคนเก่งทีม
จนลืมไปว่าหากลูกน้องสามารถทำผลงาน
เจ้านายก็ย่อมต้องได้ความชอบเพราะถึงอย่างไรก็ทีมเดียว

ฉะนั้นคุณจะได้เจ้านายประเภทนี้บ่นว่า
เหนื่อยต้องทำงานทุกอย่างด้
วยตัวคนเดียว
ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบา
เป็นประจำจนน่าเบื่อ


คุณผู้อ่านครับ
ใครได้ผู้นำแบบนี้ถึงจะเป็นเจ้านายที่แสนดีก็ต้องทำใจครับ
หรือคุณคิดว่าไม่จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เล่าปี่พ่ายโจโฉยับเยิน

บทที่ 28
เล่าปี่พ่ายโจโฉยับเยิน
ความผิดพลาดของผู้นำที่เชื่อข่าวลือ

ในขณะที่โจโฉสามารถถล่มกองทัพอ้วนเสี้ยวจอมพลแดนเหนือจนราบคาบ
อ้วนเสี้ยวหอบความแค้นกลับไปเลียแผลที่แคว้นกิจิ๋ว
โจโฉไม่รอให้อ้วนเสี้ยวสมานแผล
เตรียมการยกทัพไปถล่มอ้วนเสี้ยวเพื่อนรัก (หักเหลี่ยมโหด)

ทว่าพระเจ้าอาเล่าปี่ซึ่งไปซ่องสุมกำลังที่เมืองยีหลำ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเล่าเพ็ก. เจ้าเมืองยีหลำผู้ศรัทธาในตัวพระเจ้าอา
ถือโอกาสที่โจโฉจะยกทัพข้ามแม่น้ำฮวงโห
เพื่อบุกถล่มอ้วนเสี้ยวที่กิจิ๋ว
จะยกทัพเข้าตีท้ายครัว ด้วยการยึดพระนครฮูโต๋




บังเอิญโจโฉทันเกมเล่าปี่จึงปล่อยข่าวว่ารัฐบาลได้ยกทัพขึ้นเหนือแล้ว
เล่าปี่คิดว่าเป็นเรื่องจริ
ง จึงรีบยกทัพบุกทันที
ช่วงแรกๆชัยชนะตกเป็นของเล่
าปี่
เพราะโจโฉต้องการให้เล่าปี่
ตายใจ
เล่าปี่แม้จะฉลาดแต่ก็ไม่ทั
นเหลี่ยมกลยุทธ์ของโจโฉ
จึงยกทัพถลำลึกโดยไม่รู้ตัว


สุดท้ายโจโฉจึงใช้อุบายฉีกทัพเล่าปี่เป็นชิ้นๆ
ด้วยการปล่อยข่าวลือว่าจะยกทัพตีเมืองโน้น ตีเมืองนี้
เพื่อให้เล่าปี่หัวปั่น ต้องส่งกวนอู เตียวหุย ไปรักษาเมืองเพื่อพิทักษ์ทางถอย
เป็นอันว่ากองทัพของเล่าปี่ถูกแยกเป็นส่วนๆ

เมื่อเห็นว่าเล่าปี่ไม่มีขุนทหารเอกเหลือ
โจโฉจึงเคลื่อนทัพใหญ่ ขยี้เล่าปี่จนพ่ายยับเยิน
เล่าปี่จึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่กับเล่าเปียว

คุณผู้อ่านครับความพ่ายแพ้ของเล่าปี่
ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาด้านการข่าวและข้อมูล
ส่งผลให้การวางแผนผิดพลาดมาโดยตลอด

ยิ่งโจโฉปล่อยข่าวลือ
เล่าปี่ก็ยิ่งดิ้นรนใหญ่
ทำให้เข้าทางโจโฉ
กว่าที่พระเจ้าอาจะรู้ตัวก็
สายเกินไปแล้ว

เรื่องราวในตอนนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญกับผู้นำเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะผู้นำที่อยู่กับข้อมูลข่าวสาร
จนบางครั้งเกิดการ "เบลอข้อมูล"
จนแยกไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงหรืออะไรเป็นข่าวลือ
เนื่องจากบางครั้งขาดการวิเคราะห์ ที่มีประสิทธิภาพ
หรือได้รับข่าวนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง
ตามแนวทางทฤษฎีกระสุน ที่อาศัยการรัวกระหน่ำข้อมูลชุดเดิมทุกวัน
จากเดิมที่ไม่เคยเชื่อก็ต้องเชื่อ

ยกตัวอย่างง่ายๆว่า พนักงานคนหนึ่งมีความสามารถสูง
หัวหน้างานก็ชื่นชมบ่อย
จนเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่งร
ู้สึกอิจฉา

ทุกวันจะมีคนนำเรื่องแย่ๆของพนักงานดีเด่นผู้นี้ไปนินทาให้หัวหน้างานฟัง
ช่วงแรกๆหัวหน้างานย่อมไม่เชื่อ
แต่ถ้าหัวหน้างานต้องฟังเรื่องเดิมๆทุกวัน
จากหลายๆคนในทีมและบุคคลภายนอก
มีหรือหัวหน้างานจะไม่โน้มเอียงไปตามข่าวนั้น
เพียงเท่านี้พนักงานดีเด่นก็จะถูกจบตามองเป็นพิเศษ
จนกลายเป็นการ"จับผิด" คราวนี้หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริง
ความดีที่เคยทำก็จะหาย
และจะถูกตำหนิอย่างรุนแรง

นี่แหละครับอานุภาพของข่าวลือ
ด้วยเหตุนี้ผู้นำต้องมีสติและอย่าเชื่อสิ่งใดด้วยอคติ
เพราะคุณอาจจะกลายเป็นเครื่องมือของมือที่มองไม่เห็นครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ความปราชัยของอ้วนเสี้ยว

บทที่ 27
ความปราชัยของอ้วนเสี้ยว
"คน" คือจุดเปลี่ยนของเกม

สงครามที่กัวต๋อ 1 ใน3 อภิมหายุทธการที่ยิ่งใหญ่ในยุคสามก๊ก
และโลกยุคโบราณเพราะเป็นสงครามที่ใช้ไพร่พลทำศึกกันเกือบ 1 ล้านคน !!!
สงครามดังกล่าวคือการเปิดศึกกันระหว่าง
จอมพลอ้วนเสี้ยว ผู้มากบารมีในแดนเหนือ ยกทัพถึง80 หมื่น
ในขณะที่นายกฯโจโฉ ผู้นำรัฐบาลกลางมีไพร่พลแค่ 8 หมื่นคน




คงไม่ต้องเดาเลยว่าโจโฉจะเสียเปรียบจอมพลแดนเหนือขนาดไหน
ด้วยจำนวนไพร่พลที่ห่างกันช
นิด10 ต่อ1
ทว่าโจโฉก็สามารถใช้อุบายแล
ะกลยุทธ์ต่างพลิกแพลงมากมาย
จากเสียเปรียบก็กลายเป็นก้ำ
กึ่ง

ทว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้โจโฉต้องพ่าย
เนื่องจาก "เสบียงหมด" เพราะโจโฉได้ส่งจดหมายลับ
ไปหาซุนฮิว ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯเอ๊ย พระนครฮูโต๋ เรื่องเสบียง

แทนที่จดหมายลับนั้นจะไปถึงท่านผู้ว่าฯ
กลับถูกมือดีซึ่งเป็นคนของเขาฮิว ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวฉกไปเสียก่อน

จุดเปลี่ยนของอภิมหาสงครามอยู่ตรงนี้แหละครับ
เมื่อเขาฮิวได้อ่านจดหมายก็รีบนำจดหมายนี้ไปให้อ้วนเสี้ยวผู้เป็นเจ้านาย
อ้วนเสี้ยวอ่านแล้วขมวดคิ้วก่อนจะตอบว่า
"ไอ้โจโฉมันมากเล่ห์ มันแสร้งเขียนจดหมายขึ้นมาเพื่อหวังทำอุบาย"

จู่ๆก็มีทหารมาส่งจดหมายให้อ้วนเสี้ยว
ความในจดหมายนั้นคือ
สิมโพย ที่ปรึกษาอีกคนของอ้วนเสี้ย

ได้กุมตัวลูกหลานของเขาฮิวเ
อาไว้หมดแล้ว
เนื่องจากลูกหลานเขาฮิว
อาศัยอิทธิพลเขาฮิวในฐานะกุ
นซือของอ้วนเสี้ยว
ไปข่มขู่ ขูดรีด เก็บส่วยชาวบ้าน


พออ้วนเสี้ยวอ่านจบก็ด่าเขาฮิวว่า
"มึงมันเป็นคนเลว เอาจดหมายนี้มาลวงกู
เพราะมึงกับไอ้โจโฉเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน
ไอ้โจโฉมันคงให้ใต้โต๊ะมึงเยอะก็เลยมาทำอุบายหลอกกู
มึงจงไปเสียแล้วอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"

เขาฮิวเลยไปเข้ากับโจโฉจริง
เขาขายความลับทุกอย่างของอ้วนเสี้ยวให้โจโฉทั้งหมด
ทำให้โจโฉรู้ความลับทางการทหารของอ้วนเสี้ยวจนหมด
จริงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โจโฉจะถล่มทัพอ้วนเสี้ยวจนแตกพ่ายแหลกราญ

คุณผู้อ่านครับ
สรุปแล้วความพ่ายแพ้ของอ้วน
เสี้ยวมาจาก
ความผิดพลาดทางความคิดและ
การไม่รู้จักแยกแยะระหว่างค
วามจริงและความเชื่อ

ชัยชนะของโจโฉจึงมาจากความผิดพลาดของอ้วนเสี้ยว
ไม่ใช่เพราะฝีมือของนายกฯโจเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากสถาการณ์แบบนี้ลำพังแค่ฝีมือคงยากที่จะพลิกเกมได้
หากอีกฝ่ายไม่เดินหมากผิดเสียเอง
โจโฉคงไม่ส้มหล่น พิชิตอ้วนเสี้ยวสำเร็จ

จุดที่ไม่ควรมองข้ามของเรื่องนี้คือ
การไม่แยกแยะระหว่างความจริงกับความเชื่อ
ลองคิดง่ายๆนะครับ
อ้วนเสี้ยวยังเจรจาดีๆกับเขาฮิว
แต่เมื่อได้รับจดหมายจากสิมโพย
ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

โดยอ้วนเสี้ยวไม่ไตร่ตรองเลยว่าสิมโพยกับเขาฮิว
มีปัญหากันมาก่อนหรือไม่
การกุมตัวลูกหลานเขาฮิว มีการตรวจสอบที่เป็นธรรมหรือยัง
ไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาแล้วกุมตัวโดยปราศจากหลักฐานและพยา

ที่สำคัญแม้ลูกหลานเขาฮิวจะผิด
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาฮิวจะต้องผิด
เพราะเขาถูกอ้างชื่อเพื่อหากิน

สิมโพยใช้กลยุทธ "แทงหลัง เลื่อยขา เหยียบบ่า"เพื่อนร่วมงาน
หวังดิสเครดิตเขาฮิว
ซึ่งอ้วนเสี้ยวกลับเชื่อ
และด่าเขาฮิวชนิดยับเยิน

ปัญหาแบบนี้ในองค์กรมีเยอะ
พยายามลากเรื่องส่วนตัวให้ก
ลายเป็นประเด็นการเมืองในองค์กร
อาศัยว่าเจ้านายหูเบาและ เชื่อคนที่เข้ามาฟ้องก่อน
ฉะนั้นคนที่ฟ้องเร็วกว่าก็จ
ะได้เปรียบ

พอเจ้านายเชื่อทุกอย่างก็ง่าย
ส่วนคนที่ถูกกระทำ ถูกรังแก
พยายามอธิบายความจริง
ก็จะกลายคำแก้ตัว

เจ้านายแบบนี้ใครอยู่ด้วยก็อึดอัด
เพราะมีสมองแต่ไม่รู้จักตรอ
ไม่รู้จักแยกระหว่างความเชื่อและเหตุผล
เจ้านายแบบนี้ก็จะได้ลูกน้องขี้ประจบ เอาใจ
แต่ผลงานไม่ได้เรื่อง ทว่าเวลาประเมินผลงานกลับดีจนแทบเลิศ
ส่วนลูกน้องเก่ง แต่ไม่เอาใจเจ้านายกลับทำงานหนัก
ทั้งยังถูกตำหนิด้วยเหตุผลส่วนตัว
เวลาประเมินคงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นเช่นไร

ฉะนั้นแล้วคนดีๆที่ไหนอยากจะมาร่วมงานกับเจ้านายพันธุ์นี้
และอ้วนเสี้ยวก็เป็นนายประเภทนี้
จึงทำให้การบริหารคนของเขาไม่มีประสิทธิภาพ
แม้จะมีคนเก่งเต็มองค์กร

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : อ้วนเสี้ยวกับการทำงานไม่เป็นทีม

บทที่ 26
การทำงานไม่เป็นทีมของอ้วนเสี้ยว
ผลลัพธ์ของทีมงานเก่งแต่หัวโต๊ะห่วย

ปัญหาปวดศีรษะของอ้วนเสี้ยว
ประการหนึ่งที่กุยแก ทีปรึกษาของโจโฉกล่าวคือ
ทีมงานของอ้วนเสี้ยวไม่ค่อยสมานฉันท์
ซึ่งเหล่าเสนาธิการของอ้วนเสี้ยวส่วนใหญ่เป็นปราชญ์ที่มีความรู้ความสามารถ
หรือมีอัตตา อีโก้ ค่อนข้างสูง

ผมยกตัวอย่างแค่กรณีการหารื
เพื่อเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่และเตรียมเปิดศึกกับโจโฉ



เตียนห้อง ที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยว แสดงความเห็นว่า "ไม่เห็นด้วยเพราะกองทัพอ้วนเสี้ยวทำศึกทุกปี
เสบียงอาหารก็เหลือน้อย ควรจะถวายฎีกาถึงพระเจ้าเหี
้ยนเต้ให้ทรงห้ามโจโฉทำศึกกับเรา
หากโจโฉไม่ทำตามรับสั่งเราค
่อยหาข้ออ้าง ระดมขุนศึกทั้งแผ่นดินถล่มมัน
ไม่เกิน 3 ปีการใหญ่ย่อมสำเร็จ"


สิมโพย ที่ปรึกษาได้ฟังเช่นนั้นกลับมองอีกมุมว่า
"เราไม่ควรช้า ควรเร่งเผด็จศึก
ทหารเรารบทุกปี ย่อมเจนจัดการศึก
ไม่จำเป็นต้องรอก็พลิกฝ่ามือพิชิตโจโฉได้สำเร็จ"

ชีสิวที่ปรึกษาอีกคนฟังก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่า
"อันการสงครามหาใช่ใช้แต่กำลัง
ที่เจอหน้าก็ขวิด ทัพโจโฉวินัยเข้มงวด
ทั้งตัวโจโฉก็ชำนาญการศึก
ผิดกับกองซุนจ้านที่เราเพิ่งชนะมา
ที่สำคัญการรบโดยไม่กราบทูลนั้นผิดธรรมเนียม
การรบโดยปราศจากเหตุผลย่อมผิดคุณธรรม"

กัวเต๋า ที่ปรึกษาอีกคนได้ฟังก็พูดด้วยเสียงอันดังว่า
"ทำอย่างท่านว่าก็ไม่ถูก
คนทั้งปวงก็รู้สันดานไอ้โจรถ่อย
เราไม่ต้องหาเหตุอ้างคนทั้งแผ่นดินก็รู้แล้วว่าเราเป็นกองทัพธรรม
นายท่านเคลื่อนทัพร่วมกับพระเจ้าอา
ทำลายรัฐบาลโจโฉ ถึงจะถูก
ประชาชนถึงจะสนับสนุน"

ทั้งปะทะคารมอย่างไม่ยั้งไมตรี
ชนิดที่หัวโต๊ะแทบคุมเกมไม่อยู่
พอเขาฮิวและซุนขาม 2ที่ปรึกษามาถึง
อ้วนเสี้ยวที่ยังโลเลตัดสินใจไม่ได้จึงถามที่ปรึกษาทั้งสอง
เขาฮิวและซุนขาม ตอบว่า
"เราควรช่วยเล่าปี่ พิทักษ์ธรรม
ใช้น้อยช่วยมากคือช่วยคนอ่อนแอ
กวาดล้างศัตรูราชสมบัติเป็นหน้าที่ผู้ทรงธรรม"

อ้วนเสี้ยวทุบโต๊ะตัดสินใจจับมือกับเล่าปี่
ประกาศสงครามกับโจโฉ

คุณผู้อ่านเห็นอะไรบางอย่างในเรื่องนี้ไหมครับ
ส่วนตัวแล้วผมเห็นการระดมคว
ามคิด
การทำงานกันเป็นทีมของเหล่า
ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว
ทีต่างคนต่างทุ่มเถียงกันแบ
บไม่มีใครยอมใคร
เรียกว่าแสดงมุมมองอย่างเต็
มที่

หากองค์กรของคุณเป็นแบบนี้
คุณคิดว่าดีไหม
ที่ต่างกันต่างแสดงความเห็นกันเต็มที่
ไม่ต้องไว้หน้าใคร ไม่ต้องเกรงใจ
และนี่คือวัฒนธรรมองค์กรของอ้วนเสี้ยว

วัฒนธรรมแบบนี้สะท้อน
ภาวะผู้นำของอ้วนเสี้ยวได้ 2 มุมคือ
1.อ้วนเสี้ยวเป็นเปิดกว้างรับทุกความเห็น
2.อ้วนเสี้ยวโลเล จึงตัดสินใจชี้ขาดไม่ได้

สำหรับผมโดยส่วนตัวผมชอบวัฒนธรรมแบบนี้ครับ
เพราะเปิดกว้างแสดงความเห็น
มันทำให้เรามองเห็นได้ทุกแง่มุม

ที่สำคัญการได้แสดงความเห็น
ทำให้พนักงานรู้สึกถึงการมี
ส่วนร่วมในการทำงาน
ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองม
ีคุณค่า
ที่สำคัญเป็นการพัฒนาศักยภา
พของทุกคนที่ต้องคิดอยู่ตลอ

ทว่าภายใต้กกระบวนการแบบนี้
ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะจะต้องคุมเกมการประชุมได้
เพราะหากปล่อยไปตามสถานการณ
ธรรมชาติของคนเก่งจะไม่ยอมกัน
ทำให้การแสดงความเห็นเลยเถิดไปไกล
ซึ่งอ้วนเสี้ยวก็เป็นคนประเภทนั้นพอดี

ทำให้การประชุมของเหล่าที่ปรึกษา
แทบจะเป็นเวทีมวยราชดำเนิน
ผู้นำอย่างแบบนี้มีเยอะครับ
รับฟังทุกความเห็น
ฟังมากจนคิดไม่ทัน
ตัดสินใจไม่ถูก
หาข้อสรุปไม่ได้
พอหนักเข้าก็ทุบโต๊ะยุติการประชุม

แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ประชุมใหม่
เนื่องจากประเด็นไม่คืบ
ทั้งที่ความจริงประเด็นจะคื
บหรือไม่
ส่วนสำคัญมาจากหัวโต๊ะ
หากคุมประเด็นให้ดี ทำไมมันจะไม่คืบ


ผู้นำแบบนี้มักจะสร้างความปวดศีรษะแก่ลูกน้อง
เพราะมันไม่ใช่แค่ที่ประชุม
แต่ยังเป็นคนประเภทโลเล เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
วันนี้สั่งอย่าง
พรุ่งนี้เปลี่ยนใหม่
มะรืนเอาขึ้นมาปัดฝุ่น

หัวหน้างานใครเป็นแบบนี้
ลูกน้องต้องทำใจนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : ความผิดพลาดของเล่าปี่

บทที่ 25
ความผิดพลาดของเล่าปี่ 
การตัดสินใจโดยพลการของกวนอ

แม้เล่าปี่แสดงความสามรถฮุบกองทัพ 50,000 นายของโจโฉมาเป็นของตนเอง
โดยไม่ต้องเปลืองแรงปฎิวัติหรือยึดอำนาจ
นับว่าเป็นสุดยอดการบคือ "ชนะโดยไม่ต้องรบ"
หรือ"ยึดครองโดยไม่ต้องเสียไพร่พล"



ทว่าทั้งกวนอูและเตียวหุย2 พี่น้องร่วมสาบานเข้าไม่ถึงแก่นแนวคิดนี้
อาศัยแต่การใช้กำลังและความกล้าหาญพิชิตข้าศึก
จนสร้างความปวดขมับให้เล่าปี่
เนื่องจาก กวนอูไปสืบรู้ว่า
"กีเมา". เจ้าเมืองชีจิ๋ว และเป็นขุนพลคนโปรดของโจโฉ
ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้สังหารเล่าปี่

ทว่าแผนรั่วเพราะกีเมาไปปรึกษาคนที่ไม่ควรปรึกษา
นั่นคือพ่อลูกตระกูลตัน อดีตลูกน้องเก่าของเล่าปี่
แทนที่จะได้ปาดคอเล่าปี่
กลับกลายเป็นถูกกวนอูปาดคอ


พอเล่าปี่รู้เรื่องนี้ก็ตกใ
หากเรื่องนี้เกิดจากเตียวหุยก็ยังพอเข้าใจได้
แต่คนลงมือครั้งนี้กลับเป็นกวนอู
ที่ดูแล้วน่าจะฉลาดกว่าเจ้าน้องสามแห่งสวนท้อ
แต่กลับทำงานใหญ่ของเล่าปี่พลาดซะเอง

แต่เล่าปี่ยังมีความหวังอยู่ว่า
แม้กีเมาตาย แต่ถ้าครอบครัวเขายังอยู่
ก็น่าจะมีประโยชน์อะไรบ้างในการประสานรอยร้าวระหว่างตนกับนายกฯโจ
จึงถามถึงครอบครัวของกีเมา
กวนอูบอกว่า
"ข้าให้น้องสามไปฆ่าหมดแล้ว
จะได้ไม่เป็นเสี้ยนหนามของเรา"

เล่าปี่ได้แต่ส่ายหน้าแล้วอุทานว่า"กรรม"
"พวกเจ้าฆ่ากีเมาขุนพลหัวแก้วหัวแหวนของโจโฉ
แล้วถ้าโจโฉยกทัพมาเราจะทำอย่างไร
สภาพตอนนี้เราก็ไม่พร้อมรบ"

พ่อลูกตระกูลตันจึงเสนอให้เล่าปี่
เดินเกมผูกมิตรกับอ้วนเสี้ย

เพื่อเดินเกมปิดล้อมโจโฉ
ใช้ยุทธศาสตร์ "ฝ่ายค้าน" ล้อมรัฐบาล
เล่าปี่ถึงบางอ้อทันที


ในตอนนี้โชคดีที่เล่าปี่มีพ่อลูกตระกูลตันช่วยออกความคิด
ถ้าจะหวังพึ่งน้องชายสองคน เล่าปี่อาจจะเครียดมากขึ้น
เพราะทั้งสองคนไม่ค่อยจะชำนาญการใช้ความที่แยบยลด้วยกลอุบาย

จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือ
การกระจายอำนาจ ครับ
เล่าปี่ให้อำนาจกับกวนอูและเตียวหุยมากเกินไป
จนนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า
"การกระทำโดยพลการ"
คือการลงมือโดยปราศจากคำสั่
ซึ่งในความจริงกวนอูไม่จำเป็นต้องสังหารกีเมาก็ได้

แค่ส่งม้าเร็วไปแจ้งเล่าปี่ให้ทราบ
อุบายบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นจากเล่าปี่ก็จะออกมาทันที
แต่กวนอูเลือกที่จะลงมือโดยพลการ
อาศัยเหตุว่าฉุกเฉินจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาด

ในมุมการบริหารผมมองว่า
การกระจายอำนาจเป็นเรื่องดี
เพราะเป็นแนวทางในการพัฒนาอ
งค์กร
ไปสู่ความยั่งยืน


แต่การอาศัยอำนาจดังกล่าวไปใช้โดยพลการ
หรือใช้เกินขอบเขตอำนาจของต
ผมถือว่าไม่เหมาะสมครับ
เพราะเช่นนั้นระบบจะไม่เป็นระบบ

คุณผู้อ่านลองคิดดูนะครับ
หากทุกคนสามารถอ้างความหวังดีเพื่อองค์กร
แล้วตัดสินใจหรือลงมือทำโดยพลการ
ภายในองค์กรจะปั่นป่วนขนาดไหน

มันก็เหมือนหัวหน้างานคนหนึ่ง
ที่เห็นพนักงานในแผนกอื่น
ทำงานไม่ดีก็ด่าหรือตำหนิอย่างรุนแรงแล้วอ้างว่าทำเพื่อองค์กร
แทนที่จะไปแจ้งให้หัวหน้างานของพนักงานผู้นั้นทราบ
แล้วให้เขาดำเนินการกันเอง
แต่คุณกลับไม่ทำและเลือกที่จะไปด่าหรือตำหนิพนักงาน
แล้วอ้างว่าทำเพื่อองค์กร

ฉะนั้นอย่าใช้อำนาจจนเลยขอบเขตครับ
เพราะมันจะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัด
และไม่อยากร่วมงานกับคุณ
เนื่องจากคุณชอบก้าวล่วงคนอื่นมากเกินไป

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : โจโฉถูกเล่าปี่ฮุบกองทัพ

บทที่ 24
โจโฉถูกเล่าปี่ฮุบกองทัพ
ความผิดพลาด้านการสื่อสารของผู้นำ

นับตั้งแต่เล่าปี่เป็นสมเด็จพระเจ้าอา ก็เริ่มสะสมบารมีมากขึ้น
จนเหล่าเสนาธิการของโจโฉ เริ่มวิตกว่าเล่าปี่จะเป็นศัตรูคนใหม่ในราชสำนัก
ตัวโจโฉก็ระแวงเล่าปี่เหมือนกัน
ทำให้เล่าปี่ต้องใช้ "กลพรางตา" เพื่อลวงโจโฉ




1.เมื่อหมดเวลางาน ในยามว่างเล่าปี่จะไม่สุงสิงกับใคร วันๆจะจับจอบ จับเสียม ปลูกผักปลอดสารพิษในบ้าน เพื่อให้คนของโจโฉเห็นว่าเขาไม่สนใจการเมือง

2. เมื่อถูกโจโฉเรียกไปสนทนาวิจารณ์วีรบุรุษ เล่าปี่สามารถใส่หน้ากาก ทำตัวเป็นคนขี้ขลาด ขวัญอ่อนเพื่ออำพรางตนเองได้สำเร็จ

ครั้งที่ 3. คือขณะที่ โจโฉและเล่าปี่นั่งคุยกัน
ก็ได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรอง 2 เรื่องคือ


1.กองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง พ่ายแพ้อ้วนเสี้ยวและฆ่าตัวตายแล้ว
เล่าปี่เสียใจมากเพราะกองซุนจ้านมีพระคุณกับเล่าปี่มาก
2.อ้วนสุดฮ่องเต้กำมะลอจะมอบตราพระราชลัญจกรหรือตราหยกแผ่นดินให้กับ
อ้วนเสี้ยวเพื่อผนึกกำลังของตระกูลอ้วน
เล่าปี่เห็นเป็นโอกาสจึงอาสายกทัพกวาดล้างอ้วนสุด
เข้าทำนองอ้วนเสี้ยวฆ่าผู้มีพระคุณของข้า
ฉะนัั้นฆ่าต้องกำจัดอ้วนสุดน้องชายของเขา

โจโฉจึงพยักหน้าอนุมัติกองทัพ50,000 คนให้ไปตัังที่เมืองชีจิ๋ว
ซึ่งเป็นทางผ่านของทัพอ้วนส
ุด
จากนั้นไม่นานเล่าปี่ก็เคลื
่อนทัพปฎิบัติหน้าที่

กาเซี่ยงและเทียหยก เสนาธิการโจโฉได้ฟังข่าวเล่าปี่เคลื่อนทัพก็ตกใจ
รีบกลับเข้าเมืองหลวงแล้วสอบถามโจโฉไฉนจึงปล่อยเล่าปี่ให้มีอำนาจ
"นายท่านไม่ฆ่าเล่าปี่ก็ควรเอาไว้ใกล้ตัว ไม่ควรให้มันมีอำนาจหรืออยู่ไกลหูไกลตา
มันยกทัพไปเช่นนี้คงยากที่จะกลับมา"

โจโฉจึงรีบใช้เคาทูให้นำกองม้าเร็ว 500 นายไปตามเล่าปี่กลับมาด่วน
พอเคาทูไปถึงจึงกล่าวว่า
"ท่านขุนพล มหาอุปราชโจโฉมีข้อราชการจะหารือ ขอให้ท่านรีบกลับเข้าพระนครด่วน"

เล่าปี่ตอบกลับไปว่า
"แม่ทัพอออกศึกต่อให้มีราชโองการก็ไม่ต้องปฎิบัติตาม
ก่อนมาเราก็หารือกับมหาอุปราชแล้ว
วานท่านแจ้งว่าอย่าได้กังวล
เราจะกำจัดอ้วนสุดประกาศเกียรติรัฐบาลนายกฯโจให้โลกรับรู้"

เคาทูได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่รู้จะกล่าวอะไร ในใจก็คิดว่า
"โจโฉสนิทสนมกับเล่าปี่
จะหักหาญใช้กำลังเกรงนายท่านจะด่าเอา
เพราะนายแค่ให้เรามาเชิญเท่านั้น
เขาไม่กลับ เราก็ต้องกลับไปรายงานนาย"

โจโฉและทีมเสนาธิการได้ฟังเช่นนั้น
เหล่าเสธฯจึงกล่าวว่า
"เล่าปี่มันเล่นไม่ซื่อแล้ว
คงยากที่มันจะกลับมา"

โจโฉบอกไม่เป็นไร. เราให้จูเหล็งกับล่อเจียว สองขุนพลคอยไปเป็นหูเป็นตาใ
นกองทัพ
เราเชื่อว่าเล่าปี่คงไม่กล้
าทำเช่นนั้น

พอเล่าปี่กำจัดอ้วนสุดจึงเขียนหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้
และสั่งให้จูเหล็งกับล่อเจียว
ถือหนังสือดังกล่าวไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ในพระนครฮูโต

เป็นอันว่าเล่าปี่สามารถยึดกองทัพ 50,000 นาย
อย่างง่ายๆ ไม่ต้องเปลืองแรงในการสังหารจูเหล็งกับล่อเจียว
โจโฉพลาดท่าเป็นครั้งที่3 อย่างไม่น่าเชื่อ

คุณผู้อ่านครับ
โจโฉมองไม่เห็นเขี้ยวเล็บขอ
งเล่าปี่
ทำให้นายกโจฯ ไว้ใจในตัวเล่าปี่มากขึ้น
จึงวางใจให้คุมกองทัพ 50,000 นายไปปราบอ้วนสุด
แต่โจโฉก็ยังคงเป็นโจโฉไม่เ
คยเชื่อใจใครง่ายๆ
ยังคงส่งจูเหล็งกับล่อเจียว
ตามไปประกบเล่าปี่
ที่สำคัญในเมืองยังมีขุนพลก
ีเมาเป็นเจ้าเมือง

แต่เล่าปี่ก็อาศัยความอ่อนน้อม
วาน2 ขุนพลให้ไปส่งหนังสือกราบทูลให้กับพระเจ้าเหี้ยนเต้
ทำให้ 2 ขุนพลรีบเดินทางกลับเข้าพระนครฮูโต๋
โจโฉจึงเพิ่งจะตระหนักเห็นสติปัญญา
ล่อลวงกลอุบายภายใต้หน้ากากแสนซื่อของเล่าปี่
กว่าที่คนมากเล่ห์อย่างโจโฉจะรู้ตัวก็ถูกเล่าปี่ฮุบกองทัพ 50,000 นายไปแล้ว

เรื่องราวแบบนี้จะไม่เกิดหากโจโฉไม่ผิดพลาดเรื่องการสื่อสาร
1.โจโฉให้เคาทูไปตามเล่าปี่ แค่บอกให้ไปตาม
ซึ่งเคาทูก็ปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ให้ไปตามก็แค่ไปตาม
แต่ถ้าโจโฉบอกว่าให้ไปตาม ถ้าไม่กลับมาก็จงสังหาร

เคาทูย่อมต้องปฎิบัติตามอย่างแน่นอน
ทัพของจูเหล็งกับล่อเจียวคงไม่อยู่เฉย
3 พี่น้องแห่งสวนท้ออาจจะขึ้นสวรรค์ในตอนนี้ก็ได้
นี่คือความผิดพลาดในเรื่องการสื่อสารที่ไม่รัดกุม

2.โจโฉให้จูเหล็งกับล่อเจียวไปเป็นหูเป็นตา
ไม่ได้บอกให้หาโอกาสกำจัดเล่าปี่
ที่สำคัญเล่าปี่เป็นแม่ทัพ
ส่วน2 คนนี้เป็นแค่ขุนพลจะขัดคำสั่งได้อย่างไร

มันพลาดตั้งแต่โจโฉตั้งเล่าปี่เป็นแม่ทัพ
ถ้าศึกนี้เขาให้จูเหล็งหรือ
ล่อเจียวใครสักคนเป็นแม่ทัพ
ส่วนเล่าปี่เป็นรองแม่ทัพ
เรื่องราวความผิดพลาดย่อมไม
่เกิด

ผู้นำก็เช่นเดียวกันครับ
มักจะมีปัญหาด้านการสื่อสาร
เช่นคำสั่งไม่รัดกุม ไม่ชัดเจน
จนนำไปสูการตีความกันเอง
คราวนี้ก็สนุกล่ะครับ
เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์จะมีกระบวนการตีความที่แตกต่าง
เมื่อการตีความของเรา ไม่ตรงกับใจนาย
อะไรจะเกิดขึ้น

ผู้นำจำนวนมากชอบคิดว่า
"เรื่องแค่นี้คุณต้องรู้หรือต้องให้ผมสั่งทุกเรื่อง"
ก็บางเรื่องมันไม่รู้จริงๆ นี่ครับ
แทนที่จะเสียเวลามาตำหนิกันในเรื่องความฉลาดน้อย
สู้เอามาสอนจะดีกว่าไหมครับ
ผมเชื่อว่าไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง
บางเรื่องผู้นำเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ลูกน้องจำนวนมากต้องการคำสั่งที่ชัดเจน
เพื่อจะได้ทำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ไม่ใช่คำสั่งประเภท เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
หรือสั่งไม่หมดสักที แป๊บๆก็มีมาเพิ่ม คิดอะไรได้จู่ๆก็มาเพิ่ม
ซึ่งจะสร้างความปวดขมับให้คนทำงาน

ฉะนั้นหากนายต้องการให้ทำสิ่งใด
ควรจะบอกให้ชัดเจน เป็นเรื่องๆ
หากสงสัยต้องเปิโอกาสให้ถาม
ไม่ใช่ให้ไปคิดเอง
ถ้าลูกน้องไม่กล้าถาม
หัวหน้าก็ต้องให้ทวนคำสั่งและถามถึงความเข้าใจในคำสั่ง
หากทำเช่นนี้ได้โอกาสผิดพลาดย่อมลดลงได้มากครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เล่าปี่ใช้เทคนิคตบตาโจโฉ

บทที่ 23
เล่าปี่ใช้เทคนิคตบตาโจโฉ
อย่าคิดว่าแค่สัมภาษณ์แล้วจะได้ความจริง

เมื่อเล่าปี่เข้าร่วมเป็น1 ในแกนนำของคณะปฎิวัติตังสิน
เขาจึงต้องระวังตัวมากขึ้นเพื่อไม่ให้แสดงพิรุธออกมา
เวลาว่างจากราชการก็ไม่ออกไปสังคมกับใคร
นั่างปลูกผักทำสวนอยู่กับบ้าน

วันหนึ่งโจโฉสั่งให้ลูกน้องไปตามพระเจ้าอาเล่าปึ่มาพบที่จวนมหาอุปราช
เมื่อเล่าปี่มาถึงจวน โจโฉก็รีบจูงมือเล่าปี่ไปนั่งสนทนากัน
"ได้ข่าวว่าท่านทำการใหญ่อยู่หรอ" โจโฉเอ่ยถาม
เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจคิดว่าโจโฉรู้เรื่องที่ตนลงนามเป็นแกนนำในคณะปฎิวัติ
แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ข่มความรู้สึกไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า
ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า
"ท่านครับ ท่านหมายถึงสิ่งใด"



โจโฉก็หัวเราะแล้วบอกว่า
"ก็ที่พระเจ้าอาไม่ออกสังคม วันๆเอาแต่ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ในบ้านนั่นแหละการใหญ่
เพราะตัวเราเองอยากจะทำก็ยังหาเวลาทำไม่ได้"

เล่าปี่รำพึงในใจว่ามึงหาว่ากูว่างงานใช่ไหม
แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมานอกจากยิ้ม
โจโฉจึงชวนเล่าปี่ดื่มสุรากินแกล้มมะขามเปียก เอ๊ย ลูกบ๊วย

ในขณะที่โจโฉและเล่าปี่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น
จู่ๆฟ้าก็มืด มีทีท่าว่าฝนฟ้าจะตกหนัก ลมบนพัดเร็วแรงกระหน่ำ ทำให้เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนตัว
กลายเป็นรูปคล้ายมังกรท่องน
ภา บรรดาทหารในจวนของโจโฉต่างชี้ชวนให้กันและกันดูเมฆดำรูปคล้ายมังกรนั้น แล้วร้องพร้อมกันว่านั่นเป็นมังกรกำลังสำแดงเดช
โจโฉจึงหันมามองหน้าเล่าปี่
แล้วกล่าวว่า

“พระเจ้าอา มังกรนี่ยิ่งใหญ่นัก ถ้าจะขึ้นไปบนอากาศกระทำฤทธิ์ต่าง ๆ แล้ว อากาศนั้นยังแคบอยู่ไม่เสมอด้วยฤทธิ์
แม้จะลงในท้องมหาสมุทร ก็ยังคงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่
หากจะเร้นกายก็ซ่อนในกลีบเม
มังกรสำแดงฤทธิ์ฉะนี้
อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง
ถ้าจะทำการสิ่งใดคะเนการตามสมควร
ทุกวันนี้มีผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์บ้าง"

โจโฉถามเล่าปี่ชนิด พระเจ้าอาตั้งตัวไม่ติด
เล่าปี่จึงใช่สไตล์ตอบแบบถ่อมตัวว่า
"ท่านครับ ผมเป็นคนมีสติปัญญาน้อย
ความรู้และประสบการณ์ยังไม่พอเพียง
ที่มีความสุขอยู่ได้ในทุกวันนี้
ก็เพราะอาศัยพึ่งพาบารมีของท่าน
ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางดังคำท่านนั้น
เกินสติปัญญาน้อยๆของผมจะรู้ได้"

นานๆนายกฯโจจะเจอคนถ่อมตัวเช่นนี้
แต่โจโฉก็อ่านออกว่าพระเจ้า
อาก็ยอดคนคมในฝัก
จึงมองหน้าแล้วกล่าวว่า

" ความคิดและความรู้ในเรื่องนี้ของท่านก็มีอยู่
ใยจึงไม่แสดงความรู้ ความคิดให้เราได้รู้บ้าง
ท่านเองก็เดินทางมาทั่วย่อมต้องรู้ ต้องเห็นในสิ่งใดบ้าง"

เล่าปี่ได้ฟังโจโฉคาดคั้นด้วยไม้อ่อนจึงตอบว่า
"อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญา
กำลังทหารที่กล้าแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก
ทั้งเสบียงอาหารก็พรักพร้อม "

โจโฉได้ยินก็หัวเราะแล้วว่า
“อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม
ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้
วันหนึ่งเราจะจับมันมาโดยง่าย

เล่าปี่จึงบอกว่า
"อ้วนเสี้ยวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
เป็นพี่ชายของอ้วนสุด ทั้งสืบทอดเชื้อสายขุนนางต่อมาถึงสามชั่วอายุคน บัดนี้บังคับหัวเมืองที่ขึ้นต่อหลายหัวเมือง
มีผู้คนและทหารเป็นจำนวนมาก ทั้งบรรดาที่ปรึกษาก็มีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้ง"

โจโฉจึงร้อง"ยี๊"แล้วตอบว่า

“อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์ น้ำใจก็ขลาด
คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย
ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้”

เล่าปี่จึงกล่าวว่า
"ท่านครับ ถ้าเช่นนั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว
มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือ
น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงทั้งปวง
แล้วก็มีทหารเป็นอันมาก"

โจโฉฟังก็ยดมือขั้นปัดแย้งว่า
"เล่าเปียวเป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น
ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวาน
จะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ "

เล่าปี่จึงบอกว่า
"ถ้าเช่นนั้นซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น
กำดัดหนุ่มอยู่ มีกำลังกล้าแข็ง
ทั้งมีทหารเป็นอันมากท่านจะเห็นเป็นประการใด"

โจโฉจึงวิจารณ์ว่า
“ไอ้นี่ค่อยดูดีหน่อยมีมีฝีมือเป็นประมาณ
แต่เพราะได้ขุนทหารของพ่อ
อาศัยบารมีซุนเกี๋ยนจึงตั้งตัวได้
ซึ่งจะนับถือว่ามีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย”

เล่าปี่จึงกล่าวว่า
"เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน เป็นใหญ่ในตะวันตกทั้งเป็นเชื้อพระวงศ์
ดินแดนเมืองเสฉวนก็อุดมสมบูรณ์ นับเป็นยอดบุรุษ"

โจโฉได้วิจารณ์เล่าเจี้ยงว่
“เล่าเจี้ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง
แต่หาความคิดมิได้
อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู”

เล่าปี่จึงบอกว่า เช่นนั้นแล้วเตียวสิ้ว เตียวฬ่อ และหันซุย
ผู้นำทั้งสามพอจะได้ไหม

โจโฉได้ยินชื่อสามเจ้าเมืองนี้แล้วก็ปรบมือหัวเราะอย่างขบขันแล้วว่า
“อันเตียว สิ้ว เตียวฬ่อ หันซุยนั้นมีแต่ชื่อ
จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็มิได
้ ท่านเอามาว่าไยให้เสียปาก”

แล้วโจโฉก็กล่าวเพิ่มอีกว่า
" วีรบุรุษดุจดั่งมังกรจะต้องมีมีสติปัญญา
ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแก้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนัก ที่เบา ที่เสีย ที่ได้
ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง”

เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นจึงว่
"ท่านครับทั่วทั้งแผ่นดินนี
ผมยังไม่เห็นผู้ใดว่าเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวาง
เหมือนดังคำท่านเลย"

โจโฉได้ยินดังนั้นก็สวนกลับมาในทันทีว่า “ทุกวันนี้เราเล็งดูผู้ซึ่งมีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่สองคนคือข้า"
และชี้นิ้วไปที่เล่าปี่แล้ว
"อีกคนคือท่านยังไงล่ะ"

เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจสุดขีด
สะดุ้งขึ้นสุดตัวจนตะเกียบพ
ลัดหลุดลงจากมือ
วินาทีนั้นจู่ฟ้าก็ร้องดังแ
ละผ่าลงมาดังเปรี้ยง
เล่าปี่ใช้โอกาสนี้ในการตบต
าโจโฉ
ด้วยการ เอามือทั้งสองขึ้นปิดหูทั้ง
สองข้างทำทีเป็นตกใจเพราะเสียงฟ้าร้อง

โจโฉเห็นเช่นนั้นจึงถามเล่าปี่ว่า
"เกิดเป็นชายนักรบไฉนจึงกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าคำราม"
เล่าปี่ตอบกลับทันทีว่า
"ปราชญ์ท่านว่าไว้ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังตัวจงหนัก”

โจโฉเห็นความขี้ขลาดตาขาวของเล่าปี่แล้วก็ส่ายหน้า
จากนั้นมาเขาก็เลิกระแวงสงสัยพระเจ้าอา

เนื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อย
แต่ผมพยายามที่จะให้คุณผู้อ่านเห็นบทสนทนา
ของสองยอดบุรุษว่าเป็นเช่นไ

เจียงไท่กง ปราชญ์ผู้เขียนพิชัยสงครามลิ่วเทา
กล่าวถึงการอ่านคนว่า
"จงสอบถามด้วยคำพูด และรุกด้วยคารม"

โจโฉใช้คำถามเพื่อให้เล่าปี่แสดงความเห็น
ทว่าไม่ใช่เพื่อดูทัศนคติหร
ือวิธีการตอบ
แต่เป็นการถามเพื่อหยั่งเชิ
งเล่าปี่ว่าเป็นคนโอ้อวดภูมิปัญญา
หรือนิยมชมชอบใครเป็นพิเศษห
รือไม่

ทุกคำถามมีคำตอบครับ
เล่าปี่ตอบได้หมด
และทุกคำตอบไม่สร้างความสงสัย

เมื่อเห็นว่าเกมทายชื่อผู้นำแห่งยุคไม่สำเร็จ
โจโฉจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย
เพื่อจะดูปฎิกริยาของเล่าปี่ว่าเป็นเช่นไร
เล่าปี่แม้จะพลาดที่ทำตะเกียบเล่น
แต่ก็อาศัยไหวพริบ พลิกแพลงตนเองให้เข้ากับสถานการณ์
จนทำให้โจโฉเลิกระแวงสงสัย

สรุปง่ายๆคือ เล่าปี่รู้วัตถุประสงค์ของโจโฉ
ทว่าโจโฉไม่รู้วัตถุประสงค์
ของเล่าปี่
เพราะเล่าปี่สามารถอำพรางตน
เองได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ต

คุณผู้อ่านครับบางครั้งกระบวนการตั้งคำถาม
ก็ไม่สามารถทำให้เราได้ความจริงทั้งหมด
บางครั้งอาจได้ไม่ถึงครึ่ง
เพราะคนยุคนี้ลูกเล่นเยอะ
อาศัยวาทะศิลป์ ปิดบังบางเรื่อง
ซ่อนเร้นบางสิ่งที่ผู้ถามอยากทราบจนไม่เหลือร่องรอย

ความผิดพลาดอันเกิดจากการตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติครับ
หากเรายึดถือแค่คำตอบที่พูดออกมา
โอกาสผิดพลาดย่อมจะมาก
เพราะ "ลิ้นไม่มีกระดูก" สามารถพลิกแพลงได้ตลอด

บ่อยครั้งที่ผู้นำตัดสินใจผิดพลาด
เพราะถูกลูกน้องตนเองหลอก
(จะหลอกด้วยเหตุผลอันใดก็อีกเรื่อง)
ทำให้การวางแผนไม่สอดคล้องกับสภาพความจริง

โดยเฉพาะผู้นำที่อยู่บนหอคอยงาช้าง
ไม่เคยลงมาสัมผัสกับสภาพความเป็นจริง
ทำให้เชื่อแต่ลูกน้อง
ถามอะไรลูกน้องก็ตอบเอาใจนา
ทำให้คำตอบห่างไกลจากความจริง
มั่นใจกับกระดาษเพียงไม่กี่แผ่น
สุดท้ายก็ต้องประสบกับความผิดพลาด
อย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่แหละคือความผิดพลาดของผู้นำที่ไม่เคยสัมผัสกับความจริง

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก

ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : โจโฉตัดสินใจพลาดปล่อยเล่าปี่หลุดมือ

บทที่ 22
ตัดสินใจพลาดไปนิดแต่เป็นภั
ยคุกคามตลอดไป
บทเรียนผู้นำอย่าไว้ใจคนแต่
ภายนอก

สำหรับโจโฉซึ่งเป็นสุดยอดผู้นำในสามก๊ก
ทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก
เพราะเขาเก่งทั้งบู๊และบุ๋น
ที่สำคัญยังมีความสามารถด้านการใช้คนอย่างโดดเด่น

ทว่าเก่งกาจขนาดนี้โจโฉก็พ่ายในสมรภูมิรบหลายรอบ
แต่สุดท้ายก็สามารถยึดครองของคู่แข่ง
ทั้งจากซีกฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล

แต่หากถามถึงความผิดพลาดชนิดใหญ่หลวงในชีวิตของโจโฉ
น่าจะมีแค่คำตอบเดียว คือ "ปล่อยเล่าปี่" ให้หลุดมือ
ทำให้เล่าปี่กลายเป็นอุปสรรคทางการเมือง
และการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวของโจโฉและราชวงศ์วุยของเขา
ไปอีกยาวนาน

เล่าปี่ คนนี้แม้ไม่ค่อยจะเก่งทั้งบุ๋นและบู๊
เมื่อเทียบกับโจโฉ แต่คนทั้งแผ่นดินกลับเห็นว่
บุรุษผู้นี้คือยอดคนขนานแท้
(แม้จะไม่ค่อยได้เรื่องอะไรมาก)
แม้กระทั่งโจโฉก็รู้สึกเช่นนั้น

เล่าปี่พ่ายลิโป้จึงบากหน้ามาหานายกฯโจโฉ
เพื่อขอความช่วยเหลือ
จนกระทั่งโจโฉสามารถกำจัดลิโป้ได้สำเร็จ
ทางหนึ่งก็สามารถกักตัวเล่าปี่เอาไว้ในพระนครฮูโต๋

โจโฉต้องการซื้อใจเล่าปี่
หวังจะได้เล่าปี่เป็นลูกน้อ

(นั่นหมายความโจโฉจะได้ทั้ง
กวนอูและเตียวหุย
น้องร่วมสาบานของเล่าปี่มาเ
สริมความแกร่ง)
ด้วยการพาเล่าปี่ไปเข้าเฝ้า
พระเจ้า
แต่สิ่งที่โจโฉเกิดอาการเข็
มขัดสั้นหรือคาดไม่ถึงก็คือ
เล่าปี่ที่ชอบพูดประจำว่าตน
เองเป็นเชื้อเจ้า
(โจโฉคงจะลืมว่าเจ้าศาลไหน)


เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสถาม
เล่าปี่ถือโอกาสแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรเล่าเหงที่สืบเชื้อจาก
จงซานจิ้งอ๋อง เป็นโอรสองค์ที่7 ของพระเจ้าฮั่นเกงเต้
พระเจ้าเล่าเสี้ยนสั่งตรวจสอบทันที
ปรากฏว่า "ใช่เลย" พระเจ้าเหี้ยนเต้ดีพระทัยมา
ลำดับญาติเสร็จจึงพบว่าเล่าปี่เป็นอาของตน

ทำให้เจ้าปลายแถวกลายเป็นสมเด็จพระเจ้าอาเล่าปี่
ยกฐานะอดีตคนสานรองเท้าฟางขึ้นมาเป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ
เล่นเอาโจโฉหน้าชา เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น
แต่ก็พยายามฝืนยิ้มแสดงความยินดีกับเล่าปี่
ทั้งที่ในใจเริ่มระแวง

จากนั้นชื่อเสียงของเล่าปี่ก็โด่งดังเป็นพลุแตกในราชสำนัก
มีแต่คนเคารพยกย่องในความเป็นสมเด็จพระเจ้าอา ผู้มากคุณธรรม
ส่งผลให้ทางฝ่ายเสนาธิการของโจโฉต้องประชุมเครียด
ในหัวข้อ "กำจัดเล่าปี่ดีหรือไม่" ทุกคนต่างลงมติว่า
ควรส่งสมเด็จพระเจ้าอา ไปสร้างคุณธรรมต่อบนสวรรค์

ทว่ากุยแกที่ปรึกษาหนุ่มผู้มากปัญญาของโจโฉกลับมองว่า
ทำเช่นนั้นไม่ได้ แผ่นดินจราจล วุ่นวาย ภารกิจของเราคือรวมแผ่นดิน
เล่าปี่คือเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ของนายท่าน
ทำให้คนทั้งปวงเห็นว่านายท่านมีเมตตา
แม้กระทั่งเจ้าไม่มีศาล นายท่านยังหาศาลให้อยู่
อุปถัมภ์ค้ำชูจนได้เป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ่
หากเรากำจัดเขาในตอนนี้ภาพของนายท่านจะเสียหาย
(เพราะเดิมก็เสียมากอยู่แล้ว)
ฉะนั้นเราควรต้องเลี้ยงดูเล่าปี่อย่าให้ไปไกลหูไกลตา
เช่นนี้แล้วทุกอย่างก็จะดี

โจโฉได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า
"ท่านนี่กล่าวจรงใจข้าพเจ้า"
ทำให้เล่าปี่รอดพ้นจากอุ้งเล็บเสนาธิการของโจโฉ

ที่สำคัญเล่าปี่ก็เป็นคนเล่นละครเก่ง
แม้ลึกๆอยากกระซวกโจโฉเพื่อกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น
แต่เมื่อยู่ต่อหน้าก็ตีบทมิตรแท้ได้น่าชมเชย

จนกระทั่งข่าวอ้วนสุดจะยกพลขึ้นเหนือไปรวมพลกับอ้วนเสี้ยว
ทำให้โจโฉคิดไม่ออกว่าจะส่งใครเป็นแม่ทัพเพราะ
โจโฉเริ่มระแวงสงสัย
ขุนนางในราชสำนักบางคนที่กำลังจะทรยศตน
จึงจะแต่งตั้งแม่ทัพออกศึก
เล่าปี่เห็นเป็นโอกาสตีจากโจโฉ
จึงขออาสาตอบแทนบุญคุณท่านนายกฯ
ที่ชุบเลี้ยงจากเด็กทอเสื่อให้กลายเป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ่

โจโฉเชื่อใจเล่าปี่จึงแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าอาเป็นแม่ทัพ
ชูธงฮั่นปราบกบฎอ้วนสุด
ทำให้เล่าปี่ได้มีโอกาสเดิน
ทางเป็นอิสระ
ไม่ต้องใส่หน้ากากพินอบพิเท
าโจโฉ

จากนั้นเล่าปี่ก็ตั้งตัวเป็นปรกปักษ์
กลายเป็นศัตรูทางการเมือง
กลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านตลอดกาลของโจโฉ

ความผิดพลาดครั้งนี้ของโจโฉ
นับว่าใหญ่หลวงมากเพราะเขาได้ปล่อยเล่าปี่ออกจากกรง
แม้เล่าปี่จะไม่เก่งกาจเท่าโจโฉ
ไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าเหมือนโจโฉ

แต่ในแง่คุณธรรมเขามีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าโจโฉ
ทั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้
คำพูดของเล่าปี่ทุกคำจึงมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
เพราะภาพลักษณ์ของเล่าปี่คือนักการเมืองมือสะอาด
(แม้จะไม่เคยพัฒนาหรือสร้างสรรค์อะไรให้กับประเทศ)
ทว่าคนก็นิยมชมชอบ

คราวนี้เล่าปี่แยกวงก็สามารถโจมตีโจโฉ
ปล่อยข่าวลวง ข่าวจริง
โฆษณาชวนเชื่อให้คนต่อต้านรัฐบาล
ดิสเครดิตโจโฉไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยกให้เป็นความผิดพลาดของโจโฉ
ที่ประมาทมองคนแต่ภายนอก
เห็นเขาอ่อนน้อม ก็คิดว่าเขาหัวอ่อน
เห็นเขาพินอบพิเทาไม่ขัดขืน ก็พลอยคิดว่าเขาเชื่อฟัง

ในชีวิตจริงก็เช่นกัน
ผู้บริหารหลายคนมองคนแต่ภาย
นอก
บางคนอาจจะบอกว่าฉันมีศาสตร
์ในการอ่านคน
ไม่ว่าจโหงวเฮ้ง ,DISC , นรลักษณ์ หรือจะอะไรก็ตาม
มันก็แค่จำแนกได้แค่ภายนอกเ
ท่านั้น

กระบวนการอ่านคนในทางลึกแบ่งเป็น 3 ชั้น
1.คือการจำแนกให้ออกว่าเขาเป็นคนเช่นไร
2.ดูให้ลึกว่าเขาเป็นคนแบบไหน(อุปนิสัยฉ้อฉลคดโกง,ซื่อสัตย์ ฯลฯ)
3.สำคัญมากคือเขาคิดอย่างไรกับคุณ

คนส่วนใหญ่มองคนชั้นแรกเพื่อจำแนกความเหมาะสมในการทำงา
แต่เราไม่รู้เลยว่าภายใต้การทำงานที่ดีนั้นมีความฉ้อฉล ,คดโกง อยู่หรือไม่
เพราะเรามองไม่ถึงชั้นที่2 ซึ่งอยู่ลึก
เหล่าปราชญ์จีนโบราณจึงให้เครื่องมือตรวจสอบ
เพื่อทำให้คุณได้เห็นบางสิ่งในมุมมืด

สุดท้ายคือการมองลึกไปในชั้นที่3
คือเขาคิดอย่างไรกับคุณ
เพราะมันเป็นเรื่องยากมาก
เครื่องมือการอ่านคนทั้งศาสตร์ตะวันตกและตะวันออก
ที่มีก็ยังไม่ลึกพอที่จะอ่านใจอีกฝ่าย

แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอ่านไม่ได้
หากคุณมีประสบการณ์ในการพบปะผู้คน
หรือได้เจอคนมากมาย แลกเปลี่ยนความรู้กันบ่อย
ทักษะนี้จะเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว

สำหรับผู้บริหารแล้ว
ผมคิดว่ากระบวนการอ่านคนในทางลึกเป็นสิ่งสำคัญ
ไม่ควรมองข้ามทักษะด้านนี้
หรือคุณคิดว่าไม่จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก