ความพ่ายแพ้ของผู้นำในสามก๊ก : เล่าปี่ใช้เทคนิคตบตาโจโฉ

บทที่ 23
เล่าปี่ใช้เทคนิคตบตาโจโฉ
อย่าคิดว่าแค่สัมภาษณ์แล้วจะได้ความจริง

เมื่อเล่าปี่เข้าร่วมเป็น1 ในแกนนำของคณะปฎิวัติตังสิน
เขาจึงต้องระวังตัวมากขึ้นเพื่อไม่ให้แสดงพิรุธออกมา
เวลาว่างจากราชการก็ไม่ออกไปสังคมกับใคร
นั่างปลูกผักทำสวนอยู่กับบ้าน

วันหนึ่งโจโฉสั่งให้ลูกน้องไปตามพระเจ้าอาเล่าปึ่มาพบที่จวนมหาอุปราช
เมื่อเล่าปี่มาถึงจวน โจโฉก็รีบจูงมือเล่าปี่ไปนั่งสนทนากัน
"ได้ข่าวว่าท่านทำการใหญ่อยู่หรอ" โจโฉเอ่ยถาม
เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจคิดว่าโจโฉรู้เรื่องที่ตนลงนามเป็นแกนนำในคณะปฎิวัติ
แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ข่มความรู้สึกไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า
ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า
"ท่านครับ ท่านหมายถึงสิ่งใด"



โจโฉก็หัวเราะแล้วบอกว่า
"ก็ที่พระเจ้าอาไม่ออกสังคม วันๆเอาแต่ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ในบ้านนั่นแหละการใหญ่
เพราะตัวเราเองอยากจะทำก็ยังหาเวลาทำไม่ได้"

เล่าปี่รำพึงในใจว่ามึงหาว่ากูว่างงานใช่ไหม
แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมานอกจากยิ้ม
โจโฉจึงชวนเล่าปี่ดื่มสุรากินแกล้มมะขามเปียก เอ๊ย ลูกบ๊วย

ในขณะที่โจโฉและเล่าปี่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น
จู่ๆฟ้าก็มืด มีทีท่าว่าฝนฟ้าจะตกหนัก ลมบนพัดเร็วแรงกระหน่ำ ทำให้เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนตัว
กลายเป็นรูปคล้ายมังกรท่องน
ภา บรรดาทหารในจวนของโจโฉต่างชี้ชวนให้กันและกันดูเมฆดำรูปคล้ายมังกรนั้น แล้วร้องพร้อมกันว่านั่นเป็นมังกรกำลังสำแดงเดช
โจโฉจึงหันมามองหน้าเล่าปี่
แล้วกล่าวว่า

“พระเจ้าอา มังกรนี่ยิ่งใหญ่นัก ถ้าจะขึ้นไปบนอากาศกระทำฤทธิ์ต่าง ๆ แล้ว อากาศนั้นยังแคบอยู่ไม่เสมอด้วยฤทธิ์
แม้จะลงในท้องมหาสมุทร ก็ยังคงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่
หากจะเร้นกายก็ซ่อนในกลีบเม
มังกรสำแดงฤทธิ์ฉะนี้
อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง
ถ้าจะทำการสิ่งใดคะเนการตามสมควร
ทุกวันนี้มีผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์บ้าง"

โจโฉถามเล่าปี่ชนิด พระเจ้าอาตั้งตัวไม่ติด
เล่าปี่จึงใช่สไตล์ตอบแบบถ่อมตัวว่า
"ท่านครับ ผมเป็นคนมีสติปัญญาน้อย
ความรู้และประสบการณ์ยังไม่พอเพียง
ที่มีความสุขอยู่ได้ในทุกวันนี้
ก็เพราะอาศัยพึ่งพาบารมีของท่าน
ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางดังคำท่านนั้น
เกินสติปัญญาน้อยๆของผมจะรู้ได้"

นานๆนายกฯโจจะเจอคนถ่อมตัวเช่นนี้
แต่โจโฉก็อ่านออกว่าพระเจ้า
อาก็ยอดคนคมในฝัก
จึงมองหน้าแล้วกล่าวว่า

" ความคิดและความรู้ในเรื่องนี้ของท่านก็มีอยู่
ใยจึงไม่แสดงความรู้ ความคิดให้เราได้รู้บ้าง
ท่านเองก็เดินทางมาทั่วย่อมต้องรู้ ต้องเห็นในสิ่งใดบ้าง"

เล่าปี่ได้ฟังโจโฉคาดคั้นด้วยไม้อ่อนจึงตอบว่า
"อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญา
กำลังทหารที่กล้าแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก
ทั้งเสบียงอาหารก็พรักพร้อม "

โจโฉได้ยินก็หัวเราะแล้วว่า
“อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม
ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้
วันหนึ่งเราจะจับมันมาโดยง่าย

เล่าปี่จึงบอกว่า
"อ้วนเสี้ยวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
เป็นพี่ชายของอ้วนสุด ทั้งสืบทอดเชื้อสายขุนนางต่อมาถึงสามชั่วอายุคน บัดนี้บังคับหัวเมืองที่ขึ้นต่อหลายหัวเมือง
มีผู้คนและทหารเป็นจำนวนมาก ทั้งบรรดาที่ปรึกษาก็มีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้ง"

โจโฉจึงร้อง"ยี๊"แล้วตอบว่า

“อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์ น้ำใจก็ขลาด
คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย
ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้”

เล่าปี่จึงกล่าวว่า
"ท่านครับ ถ้าเช่นนั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว
มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือ
น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงทั้งปวง
แล้วก็มีทหารเป็นอันมาก"

โจโฉฟังก็ยดมือขั้นปัดแย้งว่า
"เล่าเปียวเป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น
ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวาน
จะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ "

เล่าปี่จึงบอกว่า
"ถ้าเช่นนั้นซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น
กำดัดหนุ่มอยู่ มีกำลังกล้าแข็ง
ทั้งมีทหารเป็นอันมากท่านจะเห็นเป็นประการใด"

โจโฉจึงวิจารณ์ว่า
“ไอ้นี่ค่อยดูดีหน่อยมีมีฝีมือเป็นประมาณ
แต่เพราะได้ขุนทหารของพ่อ
อาศัยบารมีซุนเกี๋ยนจึงตั้งตัวได้
ซึ่งจะนับถือว่ามีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย”

เล่าปี่จึงกล่าวว่า
"เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน เป็นใหญ่ในตะวันตกทั้งเป็นเชื้อพระวงศ์
ดินแดนเมืองเสฉวนก็อุดมสมบูรณ์ นับเป็นยอดบุรุษ"

โจโฉได้วิจารณ์เล่าเจี้ยงว่
“เล่าเจี้ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง
แต่หาความคิดมิได้
อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู”

เล่าปี่จึงบอกว่า เช่นนั้นแล้วเตียวสิ้ว เตียวฬ่อ และหันซุย
ผู้นำทั้งสามพอจะได้ไหม

โจโฉได้ยินชื่อสามเจ้าเมืองนี้แล้วก็ปรบมือหัวเราะอย่างขบขันแล้วว่า
“อันเตียว สิ้ว เตียวฬ่อ หันซุยนั้นมีแต่ชื่อ
จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็มิได
้ ท่านเอามาว่าไยให้เสียปาก”

แล้วโจโฉก็กล่าวเพิ่มอีกว่า
" วีรบุรุษดุจดั่งมังกรจะต้องมีมีสติปัญญา
ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแก้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนัก ที่เบา ที่เสีย ที่ได้
ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง”

เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นจึงว่
"ท่านครับทั่วทั้งแผ่นดินนี
ผมยังไม่เห็นผู้ใดว่าเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวาง
เหมือนดังคำท่านเลย"

โจโฉได้ยินดังนั้นก็สวนกลับมาในทันทีว่า “ทุกวันนี้เราเล็งดูผู้ซึ่งมีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่สองคนคือข้า"
และชี้นิ้วไปที่เล่าปี่แล้ว
"อีกคนคือท่านยังไงล่ะ"

เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจสุดขีด
สะดุ้งขึ้นสุดตัวจนตะเกียบพ
ลัดหลุดลงจากมือ
วินาทีนั้นจู่ฟ้าก็ร้องดังแ
ละผ่าลงมาดังเปรี้ยง
เล่าปี่ใช้โอกาสนี้ในการตบต
าโจโฉ
ด้วยการ เอามือทั้งสองขึ้นปิดหูทั้ง
สองข้างทำทีเป็นตกใจเพราะเสียงฟ้าร้อง

โจโฉเห็นเช่นนั้นจึงถามเล่าปี่ว่า
"เกิดเป็นชายนักรบไฉนจึงกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าคำราม"
เล่าปี่ตอบกลับทันทีว่า
"ปราชญ์ท่านว่าไว้ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังตัวจงหนัก”

โจโฉเห็นความขี้ขลาดตาขาวของเล่าปี่แล้วก็ส่ายหน้า
จากนั้นมาเขาก็เลิกระแวงสงสัยพระเจ้าอา

เนื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อย
แต่ผมพยายามที่จะให้คุณผู้อ่านเห็นบทสนทนา
ของสองยอดบุรุษว่าเป็นเช่นไ

เจียงไท่กง ปราชญ์ผู้เขียนพิชัยสงครามลิ่วเทา
กล่าวถึงการอ่านคนว่า
"จงสอบถามด้วยคำพูด และรุกด้วยคารม"

โจโฉใช้คำถามเพื่อให้เล่าปี่แสดงความเห็น
ทว่าไม่ใช่เพื่อดูทัศนคติหร
ือวิธีการตอบ
แต่เป็นการถามเพื่อหยั่งเชิ
งเล่าปี่ว่าเป็นคนโอ้อวดภูมิปัญญา
หรือนิยมชมชอบใครเป็นพิเศษห
รือไม่

ทุกคำถามมีคำตอบครับ
เล่าปี่ตอบได้หมด
และทุกคำตอบไม่สร้างความสงสัย

เมื่อเห็นว่าเกมทายชื่อผู้นำแห่งยุคไม่สำเร็จ
โจโฉจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย
เพื่อจะดูปฎิกริยาของเล่าปี่ว่าเป็นเช่นไร
เล่าปี่แม้จะพลาดที่ทำตะเกียบเล่น
แต่ก็อาศัยไหวพริบ พลิกแพลงตนเองให้เข้ากับสถานการณ์
จนทำให้โจโฉเลิกระแวงสงสัย

สรุปง่ายๆคือ เล่าปี่รู้วัตถุประสงค์ของโจโฉ
ทว่าโจโฉไม่รู้วัตถุประสงค์
ของเล่าปี่
เพราะเล่าปี่สามารถอำพรางตน
เองได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ต

คุณผู้อ่านครับบางครั้งกระบวนการตั้งคำถาม
ก็ไม่สามารถทำให้เราได้ความจริงทั้งหมด
บางครั้งอาจได้ไม่ถึงครึ่ง
เพราะคนยุคนี้ลูกเล่นเยอะ
อาศัยวาทะศิลป์ ปิดบังบางเรื่อง
ซ่อนเร้นบางสิ่งที่ผู้ถามอยากทราบจนไม่เหลือร่องรอย

ความผิดพลาดอันเกิดจากการตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติครับ
หากเรายึดถือแค่คำตอบที่พูดออกมา
โอกาสผิดพลาดย่อมจะมาก
เพราะ "ลิ้นไม่มีกระดูก" สามารถพลิกแพลงได้ตลอด

บ่อยครั้งที่ผู้นำตัดสินใจผิดพลาด
เพราะถูกลูกน้องตนเองหลอก
(จะหลอกด้วยเหตุผลอันใดก็อีกเรื่อง)
ทำให้การวางแผนไม่สอดคล้องกับสภาพความจริง

โดยเฉพาะผู้นำที่อยู่บนหอคอยงาช้าง
ไม่เคยลงมาสัมผัสกับสภาพความเป็นจริง
ทำให้เชื่อแต่ลูกน้อง
ถามอะไรลูกน้องก็ตอบเอาใจนา
ทำให้คำตอบห่างไกลจากความจริง
มั่นใจกับกระดาษเพียงไม่กี่แผ่น
สุดท้ายก็ต้องประสบกับความผิดพลาด
อย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่แหละคือความผิดพลาดของผู้นำที่ไม่เคยสัมผัสกับความจริง

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป ผู้เชี่ยวชาญสามก๊ก